The Mask singer thailand

EP. 24

The Mask Singer : ถอดหน้ากากคริสเตียน!


HIGHLIGHTS:

  • เมื่อเราดูรายการอย่างมีสตินอกจากความบันเทิงที่เราได้รับแน่นอนแล้ว ยังมีแง่มุมดีๆ ให้เราได้เรียนรู้ที่จะไม่ตัดสินผู้อื่นด้วย
  • แท้จริงแล้ว… คนเราไม่ควรตัดสินกันที่รูปร่างหน้าตาภายนอก และสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ควรกำหนดคุณค่าภายในของคน

 

หน้ากากนักร้อง

 

ต้องยอมรับถึงความแรงอันเป็นที่สุดของรายการร้องเพลงชั้นดีแฟนซีหน้ากากอย่าง The Mask Singer (หน้ากากนักร้อง) ที่ผู้เข้าแข่งขันปิดบังตัวจริงและกระโดดขึ้นบนเวทีคว้าไมค์ร้องโชว์ลูกคอสุดพลัง ใครอลังฯ กว่าอยู่ต่อ ใครคะแนนโหวตน้อยกว่าก็ต้องอำลาเวทีและถอดหน้ากากออกเพื่อเฉลยให้หายสงสัยว่าตัวจริงเป็นใคร

.
ความสนุกของรายการนอกจากความสามารถในการร้องเพลงของผู้เข้าแข่งขันแล้ว การตอบคำถาม (แบบต่อปากต่อคำ) ระหว่างกรรมการกับผู้สวมหน้ากากดูจะเป็นความสนุกที่กดข้ามไม่ได้ ภายใต้หน้ากากเหล่านั้นมีทั้งนักร้องที่ถูกลืม ตำนานแห่งวงการเพลง คนกันเองปลอมตัวมา ดาราตัวท็อป และคนดังนอกวงการบันเทิง เหล่ากรรมการและผู้ชมต่างพากันทายถูกบ้างผิดบ้าง กรรมการบางคนก็แอบขึ้นเวทีไปร้องเพลงซะด้วย เรียกว่ามีทุกมุกหักมุมแล้วหักมุมอีก จนไม่รู้ซีซั่นหน้าจะเหลืออะไรให้เล่นบ้าง และเพราะจัดเต็มแบบนี้ The Mask Singer จึงขึ้นแท่นรายการทีวียอดฮิตของปีนี้ไปโดยไม่ต้องสงสัย

 

__________________________________

 

ภายใต้หน้ากาก มีประเด็นอะไรที่คริสเตียนควรสนใจ? 

 

ภายใต้หน้ากากมีใบหน้าที่แท้จริง ภายใต้ใบหน้าที่แท้จริงมีตัวตนที่แท้จริงซ่อนอยู่ … จากเหตุการณ์ดราม่าเล็กบ้างใหญ่บางที่เกิดขึ้น ถ้าเรามองอย่างมีสติ เราก็จะได้เห็นแง่มุมที่มีประโยชน์ต่อชีวิตคริสเตียนได้เหมือนกันครับ

 

1. คนเรามักปฏิบัติกับคนอื่นอย่างที่เราคิดว่าเขาเป็น 


เมื่อไม่รู้ว่าตัวตนข้างในเป็นยังไง คนเราก็เริ่มที่จะตัดสินจากสิ่งภายนอกก่อน … 

“เสียงเหมือนผู้ชายไม่สิเหมือนผู้หญิงเสียงทุ้ม”
“ท่าทางแบบนี้ไม่น่าจะใช่นักร้อง”
“เค้าไม่น่าจะใช่คนที่ร้องเพลงสากล”
“อาจจะไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้!”

 

พอเราแน่ใจ (ไปเอง) ว่าภายในของเขาเป็นยังไง เราก็เริ่มปฏิบัติกับคนนั้นตามการนิยามส่วนตัวของเรา  บ่อยครั้งที่เราเห็นว่า คณะกรรมการเริ่มทำการวิเคราะห์และลงความเห็นว่าผู้เข้าแข่งขันเป็นใคร เมื่อได้คำตอบต่างคนก็ต่างปฏิบัติต่อคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่าเป็นคนนั้นจริงๆ เมื่อปักใจไปแล้วว่าเขาเป็นใครก็มีแนวโน้มที่จะต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม “จงเป็นคนที่ฉันคิด” ด้วยสารพัดเหตุผลถูกยกขึ้นมาอ้าง แม้ว่าสุดท้ายหลายคนจะเกิดอาการ “เงิบ” (อึ้งและหน้าแตก) ในตอนที่ผู้เข้าแข่งขันถอดหน้ากากแล้วพบว่าไม่ใช่! ทั้งหมดคือเรื่องเข้าใจผิดก็ตาม

.
หน้ากากเจ้าหญิง ดราม่า

 

กรณีของหน้ากากเจ้าหญิงค่อนข้างชัดเจน เมื่อเหล่ากรรมการเริ่มระแคะระคายว่า เธอผู้อยู่ใต้หน้ากาก คือ ตั๊ก ศิริพร หนึ่งในกรรมการรายการที่ได้แอบเข้าแข่งขันด้วย สรรพนามในการเรียกกันก็เปลี่ยนไปในเชิงสนิทสนมมากขึ้น และคำถามต่างๆ ก็เร้าให้เธอตอบสนองด้วยความโกรธด้วยการถามประเด็นเรื่องครอบครัว ยังดีที่กรรมการทายถูกและคนในหน้ากากก็เป็น คุณตั๊ก ศิริพร จริงๆ  แต่ก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเลย

 

เคยมั้ยครับเวลาที่เราเจอคนใหม่ๆ นอกจากเราจะประเมินเขาจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เรายังบังอาจก้าวล้ำเข้าไปในความเป็นตัวตนของเขา โดยการสรุป (เอาเอง) ว่าคนที่มีบุคลิกแบบนี้ พูดจาแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ น่าจะเป็นคนแบบนั้นแบบนี้

 

เรามักคิดว่าเรารู้จักคนอื่นดี และพยายามพิสูจน์ด้วยมาตรฐานและประสบการณ์ส่วนตัวของเรา แต่ความจริงเราไม่สามารถรู้จักคนหนึ่งได้รอบด้านเพราะประสบการณ์ของเรามีจำกัด และเรามองเห็นเพียงด้านที่เราเห็น หรืออยากเห็น หรือเขาอนุญาตให้เห็นเท่านั้น แต่คนๆ นั้นก็ยังคงเป็นอย่างที่เขาเป็นไม่ใช่อย่างที่เราคิดว่าเขาเป็น

 

หลายครั้งเราตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พูดคำว่า “ว่าแล้วเชียว” “บอกแล้วไม่เชื่อ” “ฉันอ่านคนออก” อะไรทำนองนี้อย่างใจจดใจจ่อ การที่เราทายถูกทายแม่นไม่ได้ส่งผลดีอะไรต่อคนๆ นั้นเลย เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของเรา ซึ่งนั่นดูไม่ค่อยแฟร์เลยนะครับ

 

2. การที่เราคิดว่าเรารู้จักใครสักคนดีแล้ว เป็นอุปสรรคต่อการรู้จักคนๆ นั้น ในแง่มุมอื่นๆ

 

มนุษย์ก็คือมนุษย์นะครับ บางครั้งเราตัดสินคนอื่นทั้งๆ ที่ไม่รู้จักหรือเห็นหน้าค่าตาเขา แต่พอรู้จัก เราก็กลับไปตัดสินเขาด้วยมุมมองเสี้ยวเดียวที่เรามี และเพราะการที่เรามีข้อมูลเกี่ยวกับคนๆ นั้น (แม้เพียงบางส่วนเท่านั้น) ก็ทำให้เราเหมารวมแล้วว่านั่นคือตัวตนทั้งหมดของเขา

 

หน้ากากมังกร

หน้ากากมังกร ดราม่า

 

อย่างเช่นในกรณีของหน้ากากมังกร (บุ๋ม ปนัดดา) ซึ่งเธอเองได้เปิดใจต่อรายการหลังถอดหน้ากากว่า แท้จริงเธอเองก็มีความฝันในการจะเป็นนักร้อง แต่ภาพลักษณ์ของเธอที่เป็นนางสาวไทยและพิธีกร ทำให้ผู้คนพอใจที่จะเห็นเธออย่างนั้น อาจเพราะเธอทำหน้าที่สองอย่างนั้นได้ดีมากอยู่แล้ว ความรู้สึกของเธอเหมือนต้องทิ้งความฝันในการเป็นนักร้องไป แต่การใส่หน้ากากกลับทำให้เธอได้มีโอกาสร้องเพลงเต็มที่ และไม่มีภาพลักษณ์เดิมๆ มาขัดขวาง

 

เราเคยทำแบบนี้กับใครหรือเปล่าครับ? มองใครบางคนอย่างที่เราพอใจจะให้เขาเป็นและกักขังเขาไว้อย่างนั้น อาจเป็นน้องคนหนึ่งที่นำเกมได้ดี ผู้นำนมัสการที่เป็นพร นักเทศน์ฟื้นฟูที่ได้รับการเจิม หลายครั้งเราอาจกักขังเขาเอาไว้ในหน้าที่รับผิดชอบเดิมๆ เพราะเขาทำหน้าที่เหล่านั้นได้ดีอยู่แล้ว คนหลายคนเลือกที่จะไม่ปฎิเสธ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เหนื่อยกับการคาดหวังหรือการแปะป้ายให้เขาเช่นนี้นะครับ

 

3. บทบาทและหน้าที่บางครั้งก็เป็นอุปสรรคในการแสดงความจริงใจ 

หน้ากากอินทรีย์

 

ในกรณีของหน้ากากอินทรี (ดุ๋ง พาที สารสิน) ซึ่งเป็น CEO ของสายการบินนกแอร์ การที่เขาใส่หน้ากากเอาไว้นั้น ทำให้เขาได้รับคำติชมที่แท้จริงโดยปราศจากความเกรงใจ เพราะหากคนดูรู้ว่าเขาเป็นใคร คงไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์การร้องเพลงของเขาแน่ๆ คุณดุ๋งร้องเพลงได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ แต่คำชื่นชมเมื่อเขาใส่หน้ากากนั้นก็น่าชื่นใจกว่ามาก เพราะผู้ชมชมจากใจจริงๆ ไม่ใช่เพราะภาพลักษณ์ หรือบทบาทหน้าที่

 

การรู้จักกันอาจทำให้มุมมองเราไม่เป็นกลางได้ เมื่อเรามีมุมมองที่ไม่เป็นกลางเราจะเริ่มมีหลายมาตรฐาน แทนที่จะมองเรื่องความสามารถหรือตัวตน เมื่อเราเริ่มเอาความสามารถไปผูกกับปัจจัยอื่น ที่สุดเราก็เริ่มไม่ยุติธรรม เช่น ถ้าเป็นนักร้องร้องเพลงได้ 7 คะแนน เราอาจจะบอกว่าธรรมด๊าาาา แต่ถ้าเป็นดาราเราคงชมออกสื่อว่าเขาเก่งมาก แต่ถ้าเป็นคนทั่วไป 7 คะแนนนี่คงลุกขึ้นยืนปรบมือให้ แต่ถ้าเป็นเจ้านายของเราร้องได้แค่ 3 คะแนนนี่เราคงยืนบนโต๊ะปรบมือให้เลย แม้ว่าท่านประธานจะร้องเพี้ยนจนหูดับขนาดไหน เราก็ไม่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์ได้

 

สำหรับคริสตจักรซึ่งมี พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะเหมือนกันนั้น เราควรเปิดใจต่อกันและตักเตือนหนุนใจกัน อย่าให้บทบาทหน้าที่ตำแหน่งอันเป็นหัวโขนทำให้เราไม่สามารถพูดความจริงด้วยใจรักได้ เพราะว่า พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรมมากและพระองค์ทรงมีมาตรฐานเดียว ถ้าเราสามารถหนุนใจและชื่นชมอย่างบริสุทธ์ใจ และตักเตือนกันด้วยความจริงใจ ด้วยความอ่อนสุภาพ ก็จะเป็นประโยชน์กว่าการที่เราเกรงใจในหน้ากากและหัวโขนของกันและกันจนไม่สามารถตักเตือนกันได้

 

 

 

4. คริสเตียนควรก้าวข้าม อคติและถอดหน้ากาก 

 

หน้ากากจิงโจ้ เฉลย

 

ในกรณีของ หน้ากากจิงโจ้ (เป๊ก ผลิตโชค) ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ครองใจคนดู เพราะมีความสามารถล้นเหลือจริงๆ แต่เมื่อถอดหน้ากาก และเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง กลับมีคนดูบางส่วนที่มุ่งไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับความสามารถของเขา

หน้ากากจิงโจ้ เป๊ก ผลิตโชค

 

หลังจากรายการ เป๊ก ผลิตโชค ได้โพสต์ข้อความว่า

“ขอบคุณ หน้ากากจิงโจ้เพื่อนรักด้วยนะ ที่ช่วยเราไว้ ช่วยปิดบังอคติของข่าวและสังคม ที่ยัดเยียดใส่ให้ผมมาตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา จนคนมองข้ามผมไป และไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นยังไง หน้ากากจิงโจ้เพื่อนรัก ช่วยทำให้หลาย ๆ คนได้ “ฟัง” เสียงเพลงที่ผมอยากจะร้องให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้ง

 

แท้จริงแล้ว… คนเราไม่ควรตัดสินกันที่รูปร่างหน้าตาหรือสิ่งที่อยู่ภายนอก และสิ่งที่อยู่ภายนอกก็ไม่ควรกำหนดคุณค่าภายในของคน

 

“อย่าตัดสินตามที่เห็นภายนอก แต่จงตัดสินตามชอบธรรมเถิด” (ยอห์น 7:24)

 

พระเยซูเองก็ถูกตัดสินจากเหล่าฟารีสีและธรรมมาจารย์ หากคนเหล่านั้นไม่สามารถมองข้ามความเป็นลูกช่างไม้ชาวนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และละสายตาจากกฎเกณฑ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับข้อห้ามและธรรมเนียมปฎิบัติ พวกเขาก็จะไม่เห็นราชกิจของพระเจ้าที่เกิดขึ้น ไม่ว่าการรักษาโรคหรือการขับผีออกและการช่วยคนจะอัศจรรย์มากเพียงใด เขาก็จะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอยู่ดี เห็นแต่เพียงชายผู้ละเมิดบัญญัติรักษาคนในวันสะบาโต

 

ถ้าคนดูรายการไม่สามารถก้าวข้ามอคติที่พวกเขามีต่อตัวศิลปินผู้สวมหน้ากากได้ ไม่ว่าเพลงที่ศิลปินคนนั้นร้องจะมหัศจรรย์และมีคุณค่าขนาดไหน พวกเขาก็จะไม่สามารถพบความสุขที่ได้รับจากการได้ฟังเพลงดีๆ เช่นเดียวกัน

 

เช่นกัน หากเราที่เป็นคริสเตียนไม่สามารถมองข้ามอคติอันเป็นเปลือกที่ครอบงำความคิดความรู้สึกของเราที่มีต่อพี่น้องได้ เราก็ไม่อาจพบความงดงามของผู้คนที่พระเจ้าใส่ไว้ในตัวเขาได้เลย หากเรายังมองที่จุดบกพร่องเล็กน้อยของผู้อื่น เราจะไม่สามารถเห็นพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้านำมาผ่านชีวิตของคนอื่นได้เลยนะครับ

 

 

 

สรุป : ให้เราสวมความรัก และไม่สวมหน้ากากเข้าหากัน (จริงใจไม่จิงโจ้!) 

 

หน้ากากทุเรียน

 

“เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม
แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วช้า”
(มัทธิว 23:28)

หน้ากากในชีวิตจริงดูจะไม่น่าพิสมัยเท่าในรายการทีวี แต่ในฐานะคริสเตียนผู้มีพระคริสต์เป็นศรีษะแล้ว เราน่าจะลองมาทำให้พระคริสต์ทอแสงเหนือชีวิตเราดีกว่า เมื่อเรายอมรับข้อบกพร่องของตัวเองได้ เราก็ควรยอมรับข้อบกพร่องของผู้อื่นเช่นกัน และเรียนรู้ที่จะให้อภัยกัน มองกันและกันอย่างเข้าใจ เปิดใจให้กว้าง และลดอคติที่มีต่อกัน การที่เราจะทำให้คนเห็นพระเยซูในชีวิตเรานั่นก็คือ ให้เรารักกันและให้อภัยซึ่งกันและกัน เหมือนที่ในพระคำของพระเจ้าบอกเอาไว้ว่า …

.

แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ความรักผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์
(โคโลสี 3:14)

ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา
(ยอห์น 13:35)

.

#ด้วยรักและจริงใจไม่จิงโจ้ 

.


ติดตามบทความในคอลัมน์ #Featured คอลัมน์ในกระแสที่หยิบจับเอาเรื่องทั่วไปมาพูดคุยกันในมุมมองของคริสเตียน ทุกวันพฤหัสสีส้มนะคะ ☺


Previous Next

  • Author:
  • Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
  • Illustrator:
  • Jostar
  • พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
  • Editor:
  • Jick
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง