เชื่อยังไงถ้าหัวใจมันเศร้า ซึมเศร้า

EP. 5 [Depression the Series]

จะเชื่อยังไงถ้าหัวใจมันเศร้า


ผู้เขียน Stephen Altrogge
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ How to Fight for Faith in the Dark


ผมมักพูดอยู่บ่อยๆ เลยตอนเศร้ามันก็เหมือนเราใส่แว่นกันแดดเอาไว้ ทีนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็ดูช่างมืดมน อ้างว้าง ว่างเปล่า สิ้นหวัง ไร้หนทาง ราวกับมีเสียงจากห้องแห่งความเศร้าร้องตะโกนว่า “เจ้าทุกคนที่เข้ามาในนี้ จงทิ้งความหวังของเจ้าซะ”

 

ภาวะซึมเศร้าเป็นความเจ็บป่วยทั้งทางกายและจิตใจ เซลล์ประสาทที่ทำงานผิดปกติก่อให้เกิดภาวะเคมีไม่สมดุลในสมอง ภาวะไม่สมดุลนี้ทำให้คนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าเกิดความรู้สึกที่แย่เกินจะทน ยังกับว่าโลกทั้งใบกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ และเมื่อทุกอย่างดูใกล้ถึงจุดจบ ความเชื่อก็อ่อนแรงไปด้วย

 

“ภาวะซึมเศร้าทำให้คนเราตกอยู่ในความหดหู่และสิ้นหวัง ไม่ว่าสมองจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม”

.

โดยทั่วไปแล้ว วิธีที่เราใช้เพื่อรักษาความเชื่อก็ไม่ซับซ้อนอะไรนัก เริ่มด้วยการใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า ปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านั้นทำงานในจิตใจของเรา จากนั้นก็เอามาใช้ในชีวิตจริง เมื่อเรารับเอาพระสัญญาที่ได้รับเหล่านั้นเข้ามาใช้ ความเชื่อของเราก็เติบโตขึ้น และเมื่อความเชื่อเพิ่มมากขึ้น ความชูใจและความหวังก็ค่อยๆ เป็นรูปธรรมขึ้นมา

 

แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่ตกอยู่ใน ‘ภาวะซึมเศร้า’ ล่ะ (รวมไปถึงความเจ็บป่วยทางจิตใจส่วนใหญ่ด้วย) หลักการความเชื่อเพียงอย่างเดียวกลับไม่ได้ผลนัก ภาวะซึมเศร้ามักทำให้คนเราตกอยู่ในความหดหู่และสิ้นหวัง ไม่ว่าสมองจะคิดอะไรอยู่ก็ตาม การระลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่คุณรู้สึกอยู่ ก็เหมือนกับการเป็นไมเกรนนั่นแหละ การเชื่อในพระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอาการไมเกรนจะหายไป

 

_____________________

จากความหดหู่สู่ความชูใจ

.

ไม่ว่าเราจะพยายามอ่านพระคัมภีร์แค่ไหน ถ้าจิตใจยังเต็มไปด้วยความหดหู่ ก็แทบจะไม่มีความหวังให้เห็น และในฐานะที่ผมเองเป็นหนึ่งคนที่เผชิญกับภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลมายาวนาน ผมว่าการพูดกับคนที่กำลังซึมเศร้าว่า “เธอแค่ต้องเชื่อพระเจ้าให้มากขึ้นเท่านั้นเอง” มันไม่ช่วยอะไรเลย

 

แล้วทีนี้คุณจะทำยังไงเมื่อต้องเผชิญภาวะซึมเศร้า? คุณจะรักษาความเชื่อไว้อย่างไรในขณะที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในความมืด?

โรคซึมเศร้า

 

วิธีต่อไปนี้เป็นวิธีที่ช่วยผมได้ เลยอยากลองมาแบ่งปันดูครับ

 

1. แยกให้ออกระหว่าง ‘ความจริง’ กับ ‘ความรู้สึก’

.

“ภาวะซึมเศร้าทำให้สมองเราปั่นป่วนไปด้วยความจริงแค่ครึ่งเดียวและความคิดที่บิดเบี้ยว”

.

สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมเรียนรู้ก็คือ 90% ของช่วงเวลาแห่งความซึมเศร้านั้น ความรู้สึกของผมเดินสวนทางกับความเป็นจริง จำเรื่องนี้เอาไว้ให้ขึ้นใจนะครับเมื่อคุณต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยทางจิตใจ

 

ความรู้สึกแย่เกิดขึ้นจากความผิดปกติในร่างกายผม มาจากสมองที่ไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น ทั้งที่เรื่องจริงยังไม่มีอะไรแย่ซะหน่อย สมองพังๆ ของผมไม่ยอมรับความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติไว้ และมันมั่นคง อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นถ้าผมจะพยายามจัดการชีวิตตัวเองหรือสถานการณ์ต่างๆ ผ่านแว่นตาแห่งความซึมเศร้าของผมแล้วล่ะก็ ผมคงแย่แน่ๆ

ขณะที่คุณตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า การคิดตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตเป็นเรื่องที่อันตรายมากเชียวล่ะ อย่าพึ่งด่วนตัดสินเรื่องราวต่างๆ ความสัมพันธ์ หรือชีวิตแต่งงานในช่วงนี้ เพราะคุณจะพลาดจากความจริงไปเยอะเลยทีเดียว

 

แต่ลองพูดแบบนี้แทนดูสิครับว่า “ไว้ฉันค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลังนะ แต่ตอนนี้ขอมอบเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้าและวางใจให้พระองค์ทรงจัดการแทนละกัน” พระเจ้าแสนดีและทรงสัตย์ซื่อ พระองค์รักคุณแม้ในเวลาที่คุณไม่รู้สึกอย่างนั้น พระองค์ทรงสามารถรับมือกับทุกอย่างในเวลาที่คุณไม่อาจทำได้

 

จำไว้ว่า ความเชื่อไม่ใช่ความรู้สึก ความเชื่อคือการเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ แม้บางครั้งอาจดูไม่เป็นอย่างนั้นก็ตาม ผมพูดได้เลยว่าเวลาที่คุณตกอยู่ในช่วงที่หดหู่ คุณจะไม่รู้สึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าหรอก นี่แหละที่ว่าเรารู้สึกไปเอง อย่าได้ไปหลงเชื่อมันเชียว

 

ศิษยาภิบาล จอห์น คาวิน ได้พูดไว้ว่า ความเชื่อที่แท้จริงนั้น “ฝังแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ แม้ว่าบางทีอาจดูหวั่นไหวไปมา แต่แสงของมันไม่เคยจางหายไป หรืออย่างน้อยที่สุดมันอาจซ่อนอยู่ใต้ขี้เถ้านั่นแหละ” เหมือนกับที่ดาวิดอธิษฐานใน สดุดี 139:11-12 ความเชื่ออาจถูกบังไว้จากสายตาของเรา แต่ไม่สามารถซ่อนจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างได้ ดังนั้นให้เราแยกแยะความรู้สึกกับความจริงออกจากกัน

 

ถ้าข้าพระองค์จะว่า “ขอเพียงความมืด จงบังข้าไว้ และจงให้ความสว่างรอบข้าเป็นกลางคืน” สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง

 

2. หาเพื่อนที่คอยเตือนสติคุณได้

.

“เมื่ออะไรมันเริ่มจะชัด ก็ไม่ยากที่ผมจะเข้าใจและเปิดใจรับพระสัญญาของพระเจ้าได้ดีขึ้น
และเมื่อผมเปิดใจแล้ว ความเชื่อก็เพิ่มขึ้นด้วย”

.

ความซึมเศร้าขังคุณไว้กับความคิดของตัวเอง ทำให้สมองคุณปั่นป่วนไปด้วยความจริงแค่ครึ่งเดียวและความคิดที่บิดเบี้ยว เรื่องจริงกลับเชื่อยากยิ่งกว่านิยาย จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ความคิดอ่านของคุณจะวิเคราะห์ได้อย่างตรงไปตรงมา เหมือนคุณกำลังมองทุกอย่างกลับหัวอยู่ในห้องกระจกอันมืดมน

 

ในช่วงเวลาแบบนี้ ผมต้องการใครซักคนที่จะบอกความจริงกับผม ยังไม่ต้องให้คำแนะนำว่าผมควรปรับปรุงตัวเองยังไง แต่ยึดผมไว้ด้วยความจริงเหมือนสมอที่ยึดเรือเอาไว้ ผมต้องการใครสักคนที่จะพูดว่า “ฟังนะ ฉันรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่นี่คือความจริง ก็คือ แม้ตอนนี้คุณรู้สึกเหมือนทุกอย่างพังทลาย แต่พระเจ้ายังอยู่กับคุณ พระองค์ทรงรักคุณและจะไม่ปล่อยให้คุณล้มเหลว”

 

เวลาที่คุณซึมเศร้า คุณมักอยากหลบหน้าจากผู้คน ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี มันยากที่จะเปิดประตูให้ใครเข้ามาในห้องแห่งความลับของคุณ แต่คุณต้องการใครสักคนที่จะคอยย้ำเตือนความจริงกับคุณอย่างอ่อนโยน เป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ที่จะเดินผ่านหุบเขาเงามัจุราชไปกับคุณ

 

ความจริงจากปากเพื่อนเป็นเรื่องที่คุณควรยึดเอาไว้ให้มั่น ยิ่งในช่วงเวลาท้อใจแบบนั้น อย่าเชื่อความคิดตัวเอง แต่ให้เชื่อเพื่อนคนที่คุณไว้ใจได้

 

3. ให้แสงส่องถึงจิตใจ

.

“เพียงแค่ 20 นาทีท่ามกลางแสงแดดก็สามารถเยียวยาสมองที่อ่อนล้าและจิตใจที่ห่อเหี่ยวได้”

.

ร่างกายและจิตใจมีความเชื่อมโยงกันอยู่ บ่อยครั้งที่ร่างกายทำหน้าที่เป็นทัพหน้าและจิตใจเป็นเหมือนทัพหลัง เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จิตใจก็ถูกฉุดให้ดำดิ่งไปด้วย เหมือนที่ถ่วงน้ำหนักที่มัดไว้ที่ข้อเท้า

 

ผมค้นพบว่าการเพิ่มความเชื่อให้ได้ผลดีนั้นเริ่มต้นจากร่างกาย เมื่อผมได้ออกกำลังกาย เดินเล่น หรือนั่งชิลๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ เลือดและออกซิเจนที่สูบฉีดภายในทำให้ร่างกายสดชื่น เมื่อรู้สึกดีขึ้น ผมเริ่มมองอะไรได้ชัดเจนและตรงตามความจริงมากขึ้นกว่าเดิม

 

ชาร์ล สเปอร์เจียน ผู้ต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้าอยู่บ่อยครั้งได้กล่าวว่า ใช้เวลาสักวันเพื่อสูดอากาศสดชื่นบนภูเขา หรือเดินเที่ยวเตร่ใต้ร่มเงาครึ้มของป่าต้นบีชซักชั่วโมง จะช่วยปัดหยากไย่ในสมองของผู้รับใช้ที่อ่อนล้าที่มีแต่กายแต่ไร้วิญญาณได้ดีทีเดียว อาจจะสูดกลิ่นน้ำทะเลเข้าไปให้เต็มปอด เดินรับลมสักหน่อย ถึงแม้จะไม่ช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณ แต่อย่างน้อยก็เริ่มต้นด้วยการเติมออกซิเจนให้กับร่างกาย ซึ่งก็ดีไม่แพ้กัน”

 

ถ้าคุณกำลังเศร้า อาจต้องลองออกไปรับแสงแดด ออกไปเดินเล่น หรือวิ่ง นั่งชิลๆ ผิงแดดผึ่งลม จิบกาแฟนิดหน่อยและนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น คุณอาจไม่รู้สึกอยากจะทำมันซักกะนิด คุณอาจจะรู้สึกว่าอยากขังตัวเองอยู่ในห้อง นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง แต่เพียงแค่ 20 นาทีท่ามกลางแสงแดดก็สามารถเยียวยาสมองที่อ่อนล้าและจิตใจที่ห่อเหี่ยวได้จริงๆ นะครับ

 

_____________________

 

พระหัตถ์ที่เข้มแข็งยิ่งกว่าตัวคุณเอง

.

“พระเจ้าทรงรักคุณแม้ในเวลาที่คุณไม่รู้สึกเช่นนั้น
พระองค์ทรงรับมือกับทุกอย่างในชีวิตคุณได้ในเวลาที่คุณทำไม่ได้”

.

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ในภาวะที่หดหู่ก็ยังมีความหวังในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงยึดคุณไว้ตอนที่คุณรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร่วงตกลงไป ในช่วงเวลาที่คุณมืดมน พระผู้เลี้ยงจะคอยเดินอยู่เคียงข้าง พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าความรู้สึกอัดแน่นไปด้วยความเศร้าและอ้างว้างนั้นเป็นอย่างไร

 

มือของเราอาจอ่อนกำลัง แต่พระหัตถ์ของพระองค์ที่พยุงเรานั้นไม่เคยอ่อนแรงเลย

.


แสงแห่งความหวังมีเสมอแม้ในเงาของความเศร้า  ติดตามบทความทั้งหมดในซีรีส์คริสเตียนในยามหดหู่กับโรคซึมเศร้า Depression the Series ได้ทางลิงค์นี้นะคะ >> https://www.choojaiproject.org/category/articles/psychology/depression-the-series/


Previous Next

  • Translator:
  • Nava
  • หนึ่งในทีมผู้แปลชูใจ ผู้สืบทอดกิจการสายไหมของครอบครัว จบศึกษาอิงค์ แต่ไม่ได้อยากเป็นครูในระบบ มีความมุ่งมั่นที่จะตามหาฝันไปไกลถึงเมืองที่มีแกะมากกว่าประชากรในประเทศ
  • Illustrator:
  • ลาเบย (Labiere)
  • จับงานวาดมาตั้งแต่มัธยม จบออกแบบมาก็ยังวาดไม่ยั้ง ยังอยู่ร่วมกันในแวดวงงานรับใช้ไม่เคยหาย พร้อมๆกับความฝันในงานมิชชั่นนารี
  • Editor:
  • W. Wanee
  • นักแปลสาวสวยเสียงทอง ผู้ซึ่งอยากรับใช้พระเจ้าด้วยความสามารถด้านภาษาของเธอ งานใดที่ให้เธอรับผิดชอบ ไม่มีพลาดแน่นอน!