ความเหงาในงานคริสต์มาส Christmas Diary Ep.3

EP. 3/4

“ความเหงาในงานคริสต์มาส” [คริสต์มาสไดอารี่]


บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 10 นาที



มีคนมางานทั้งหมดที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน 700 คน ในจำนวนนั้นรับเชื่อประมาณ 40 คน
1 ใน 700 คือน้องสาวของผม แต่ในวันนั้นเธอไม่ได้เป็น 1 ใน 40 … และคงไม่มีโอกาสได้เป็นอีกแล้ว

 

สำหรับคนทั่วไปเรื่องกำเนิดพระเยซูอาจเป็นเพียงเรื่องเล่าแต่ความว่างเปล่าในชีวิตของเขาตอนนี้คือเรื่องจริง เพราะอย่างนั้นตามความเห็นส่วนตัวของผม การทำละครที่สัมพันธ์ (related) กับบริบทของคนไทย จะทำให้ดูไม่ยัดเยียดความเชื่อ (Hard Sale) เกินไป ผมชอบนำเสนอเรื่องครอบครัว ความรัก ความเหงา และความว่างเปล่าในจิตใจ เพราะว่ามันค่อนข้างจับต้องได้ง่าย

เราทุกคนต่างประสบปัญหาพวกนี้ทั้งนั้น ถ้าเราสามารถทำให้คนดูรู้สึกว่ามันใกล้ตัว คนดูก็รู้เองว่าเขาต้องการพระเยซูที่เกิดมาเพื่อช่วยเขา ความรู้สึกแบบนั้นสำคัญมากกว่าได้รู้ว่าพระเยซูเกิดมายังไงและมีปาฏิหารย์อะไรในคืนนั้น บทละครที่ทรงพลังจะทำให้นักเทศน์ทำงานได้ง่ายขึ้นและมันจะมีส่วนในการสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ (แต่ทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นภายใต้การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ดี) 

 

 

ผมว่านะชีวิตจริงน่ะ มันดราม่ายิ่งกว่าละครคริสต์มาสซะอีก

 

น้องสาวของผมเรียนนิเทศศาสตร์อยู่คนละมหาวิทยาลัยกับผม เธอเองก็คุ้นชินกับเรื่องพระเจ้าระดับหนึ่งเพราะเคยอยู่โรงเรียนคริสเตียนด้วยกันตอนยังเล็ก แต่พอโตขึ้นเราสองคนไม่ค่อยสนิทกันเหมือนก่อน เพราะหลังจากพ่อของผมเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจ แม่ที่มักไม่ลงรอยกับญาติๆ ของพ่อก็ทะเลาะกับที่บ้านใหญ่โตจนจบด้วยการแยกตัวออกไปสร้างครอบครัวใหม่ ผมและพี่ชายอาศัยอยู่กับญาติฝั่งพ่อ ส่วนน้องถูกแม่พาไปอยู่ด้วยตั้งแต่ยังเล็กๆ พอผมมาเป็นคริสเตียนผมก็ไม่รู้จะพูดเรื่องพระเจ้ากับน้องยังไง สิ่งที่ผมพอจะคิดได้คือชวนเธอมางานคริสต์มาส

 

ช่วงใกล้งาน ทีมละครมักอยู่ซ้อมกันจนดึก ในฐานะผู้กำกับผมพยายามจัดตารางซ้อมให้นักแสดงแต่ละคนไม่ต้องซ้อมหนักจนเกินไป แต่สำหรับตัวหลักหรือผู้กำกับเองยังไงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การต้องทุ่มเทเวลาไปกับการซ้อมทำให้เราไม่สามารถใช้เวลากับคนที่เราจะพามางานได้เท่าที่ควร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่เราจะชวนใครมางานคริสต์มาสได้สำเร็จ เพราะหัวใจหลักของการที่เค้าจะยอมเปิดใจมา ไม่ใช่เรื่องของขวัญ หรือการเลี้ยงอาหาร เพราะสิ่งที่โบสถ์สามารถให้เขาได้นั้นมันไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร แต่กุญแจสำคัญคือความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งผมต้องยอมรับว่าตัวเองสอบตกเรื่องนี้มากๆ  อย่างน้องสาวของผม บางปีขนาดบัตรเชิญผมยังไม่ได้เอาไปยื่นด้วยมือเลย ได้แต่โทรบอกว่าให้มานะ

.

 

“คริสต์มาสปีนี้มาด้วยนะพี่ทำละครด้วย มาดูให้ได้นะ ชวนเพื่อนมาด้วยก็ได้นะ”
“โอเคแต่เพื่อนมันคงไม่ไปหรอก มันบอกงานคนดี พวกมันไม่เหมาะกับโบสถ์ มันร้อน”
“ว่าไป ลองชวนดูก่อนก็ได้ ปีนี้มีของแจกเพียบเลย เดี๋ยวพี่จะให้เค้าเร่งแอร์ให้เย็นๆ เลย”
“อื้มมมมม”
“แล้วเดี๋ยวเอาบัตรไปให้หน้างานนะ”

แม้ว่าบางครั้งคนที่เราชวนจะยอมมาแต่พอเค้ามาถึงที่งาน เราก็ต้องสอบตกอีกครั้งเพราะเราไม่มีเวลาดูแลเค้าเท่าที่ควร ถึงเค้าจะบอกว่าโอเคแต่ผมก็รู้แก่ใจว่ามันไม่โอเคเท่าไหร่ แขกของเราถูกลืมบ่อยๆ เวลาที่เราวุ่นวายอยู่กับงานหลังเวทีหรือหน้าเวที ยิ่งถ้าเค้ามาคนเดียวไม่รู้จักใครเลยคนที่ได้นั่งมองเราวุ่นวายเค้าจะรู้สึกโดดเดี่ยวแค่ไหน คนที่มานี่เค้าต้องรักเรามากๆ เลยแหละถึงยอมแบบนี้ได้ ผมยิ่งยุ่งขึ้นไปอีกเพราะพอใกล้วันจริงน้องที่รับบทตัวประกอบไม่ยอมมาซ้อมซะดื้อๆ และสุดท้ายก็เททีมละครและขอลาออก เมื่องานเข้าแบบนั้นในวันจริงนอกจากดูความเรียบร้อยและปล่อยคิว ผมก็เลยต้องขึ้นไปเป็นตัวแสดงแทนด้วย

 

 

ตอนที่ผมขึ้นไปบนเวทีผมมองลงมาเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กสาวที่ต้องประหลาดใจที่เห็นพี่ชายตัวเองขึ้นมาบนเวทีแบบไม่คาดคิด รอยยิ้มของเธอทำเอาผมเขินจนหน้าแดงเลยละมั้ง ผ่านช่วงตลก สนุกเศร้า เฮฮาและจบลงด้วยความสุข ละครคริสต์มาสจบลงด้วยเสียงปรบมือดังสนั่นผู้คนลุกขึ้นยืนบ้างผิวปากบ้างยิ้ม “เอาอีกๆๆ” บางคนตะโกนอย่างนี้ ในช่วงท้ายทีมงานทั้งหมดปรากฏตัวบนเวทีให้ผู้ชมเห็นหน้าค่าตา ผมในฐานะผู้กำกับเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับอาจารย์ซึ่งจะเทศนาต่อเป็นลำดับสุดท้าย ท่ามกลางเสียงปรบมือและสายตามากมาย ผมก็ได้สังเกตเห็นใบหน้ายิ้มแย้มปลื้มปริ่มใบหน้าหนึ่งที่ผมเองคุ้นเคย
.

น้องบอกว่าละครดีมากเลย น้องดูแล้วร้องไห้เลย น้องบอกว่าน้องรู้สึกว่าพระเจ้ามีจริงแล้วน้องก็เชื่อนะว่ามีพระเจ้าจริงๆ ผมไม่รู้ว่ามันเพียงพอไหมกับสิ่งที่ทุ่มเทไป…

 

 

“เชื่อมั้ยว่าพระเจ้ามีจริง แล้วพระเจ้าก็แสนดีด้วย?”
“เชื่อสิ แต่ตอนที่อาจารย์เค้าเรียกน้องก็ไม่ได้ออกไปรับเชื่อหรอกนะ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะว่ายังไม่พร้อม ไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ แต่ก็มีพระเจ้าอยู่ในใจแล้วนะ”
“เวลามีปัญหาก็ลองอธิษฐานกับพระเจ้าได้นะ เหมือนในละครอ่ะ พี่เขียนมาจากชิวิตจริง”
“เคยแล้วพระเจ้าก็ตอบด้วย”
“เหรอ…เรื่องอะไรเหรอ…”

ไม่ทันได้พูดอะไรมากมายผมก็ถูกน้องทีมงานตามไปถ่ายรูป และต้องเก็บของอีกเพียบ ด้วยงานแบบนี้ที่เลิกเลทอยู่แล้วเพราะแจกของขวัญไม่หมดซักทีก็เลยยิ่งทำให้เวลาที่จะได้คุยกันน้อยลงไปอีก ประมาณเกือบห้าทุ่มพวกเราถึงเริ่มย้ายตัวไปฉลองที่ร้านขนมกันได้ นี่ยังดีนะ เพราะบางปีน้องหรือเพื่อนของผมที่ชวนมาก็อยู่ได้ไม่จบหรือไม่ได้คุยกันหลังงานเลิกด้วยซ้ำไป

 

“ปีหน้ามาอีกนะ”
“อื้ม ปีหน้าเล่นเป็นพระเอกสิ”
“เตี้ยไปอะ ไม่เอาหรอกเขียนให้คนอื่นเล่นดีกว่า”
“ใส่รองเท้าที่มันสูงๆ สิ ซื้อให้ก็ได้นะ”
“ไม่เอาอะ ชอบแอบส่องคนดูหลังเวทีมากกว่า … ปีหน้าจะรีดน้ำตาคนดูให้มากกว่านี้อีก”

 

ทำไมจัดคริสต์มาสตามโจทย์แต่มันไม่ตอบโจทย์?

 

ปีต่อๆ มาผมก็ยังได้รับผิดชอบทำละครอีก แต่ระหว่างที่เรากำลังเตรียมการซ้อมราวเดือนตุลา ในช่วงที่เป็นมรสุมปลายฝนต้นหนาวนั้นเอง ผมกลับบ้านดึกดื่นเที่ยงคืนเหมือนเคยในช่วงเวลาปลายปีแบบนั้น หลังจากซ้อมละครเสร็จผมก็ไปกินหมูกระทะกันเพราะเนื้องานมันกินพลังงานมาก และเราก็ต้องการพลังงานคืน

“กินข้าวมั้ย แม่ให้เอาปลาเผาน้ำจิ้มสามรสมาฝาก”
“กินเลย แล้วทำไมวันนี้มานอนที่นี่ได้อะ”
“พรุ่งนี้มีธุระน่ะ เลยมานอนนี่”
“แม่โอเคเหรอ?”
“โอเคสิ ถึงได้ฝากของชอบมานี่ไง”
“กินหมูกะทะมาแล้วอ่ะ แล้วเดี๋ยวจะไปออกกำลังกายหน้าบ้านเอาไขมันออกหน่อย”
“น้องก็จะไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปทำธุระ พระเจ้าอวยพรนะ” ตอนนั้นผมก็ยังแปลกใจที่น้องสาวของผมพูดว่าพระเจ้าอวยพร

 

 

1 ตุลาคม ในปีเดียวกันนั้นวันรุ่งขึ้น  ผมไม่สบายมีไข้ขึ้นสูงจึงพักผ่อนอยู่บ้าน วันนั้นไม่ได้ไปโบสถ์เพราะร่างกายไม่ไหว พอตื่นมาน้องสาวของผมก็ออกไปธุระที่เธอว่า ส่วนผมก็ได้แต่นอนซมทั้งวัน เช้าวันถัดมาอีกวันมีตำรวจโทรมาที่บ้านและบอกว่ารถทัวร์ที่น้องนั่งโดยสารไปเพื่อไปงานแต่งงานของเพื่อนประสบอุบัติเหตุจากฝนที่ตกหนักถนนลื่น…

 

กลางเดือนธันวา ในงานคริสต์มาสผมกลับมายืนอยู่ที่เดิมบนเวที แต่ไม่มีสายตาคู่เดิมอีกต่อไปแล้ว… ปีนี้ไม่ได้ชวนใครเป็นพิเศษและคงไม่มีใครให้ชวนอีกต่อไป บัตรเชิญของผมยังคงถูกเก็บไว้ในกระเป๋าจนมันยับยู่ยี่ เสียงปรบมือยังดังเหมือนเก่าแต่ไร้รอยยิ้มที่คุ้นเคย มันว่างเปล่าหน่อยๆ โหวงๆ ชอบกล

 

“ผมยอมรับตามตรงว่าผมไม่รู้เลยว่าผมขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นเพื่ออะไร แล้วมันมีประโยชน์ไหมกับสิ่งที่ทำ”

 

 

มีแต่คนชมว่างานดีและผมเก่งมากเลยที่สามารถทำงานได้ในสถานการณ์แบบนั้น แต่ผมรู้สึกแต่เพียงว่างานที่ออกมาดีไม่มีค่าอะไรเลย… ถ้ามันไม่ตอบโจทย์ที่แท้จริง โจทย์ที่แท้จริงคืออะไรน่ะเหรอ? ไม่ใช่มีคนมาโบสถ์กี่คน ของขวัญพอไหม คนประทับใจไหม แต่คือการที่พระเยซูลงมาเพื่อเราทุกคนล่ะมั้ง ถ้าใครซักคนได้รู้และได้รับเอาไว้นั้นแหละ ตอบโจทย์!

 

“ผมยังเชื่ออยู่ว่าพระเจ้าแสนดี แต่ผมก็ยังรู้สึกแสนเศร้า”

 

คุณน้าคนนึงเดินเข้ามาตบบ่าบอกกับผมว่า “รู้มั้ย? น้ารับเชื่อที่งานคริสต์มาสนี่แหละทั้งครอบครัวเลย ตอนนั้นรับเชื่อก็เพราะได้ดูละคร (เรื่องนั้นผมเป็นนักแสดง) แล้วก็ยังจำได้เลยว่าจับหางบัตรได้หม้อสุกี้ กับเตารีดแล้วที่บ้านดีใจมาก สิ่งที่เราทำเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดผลกับใคร แต่ว่าสำหรับพระเจ้ามันไม่มีอะไรสูญเปล่า”

 

ปีต่อมาคณะกรรมการคริสต์มาสชุดใหม่ให้ผมได้พัก… และผมรู้สึกว่ามันเจ็บปวดเกินไป ที่จะเห็นคริสต์มาสอีก แน่นอนว่าไม่ใช่ความผิดอะไรของใครเลยผมเพียงแต่ไม่รู้จะโทษอะไรดี ผมเลยโทษวันคริสต์มาส ตลอดเวลาที่ผ่านมาการได้เป็นส่วนหนึ่งของมันทำให้ผมมีความสุขมากในคราวเดียวกันก็ทำให้ผมเจ็บปวด ในปีนั้นงานคริสต์มาสประกาศถูกงดไปเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในคริสตจักร เรามีศิษยาภิบาลคนใหม่ และท่านอยากให้สร้างความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวของพระเจ้าก่อน วันคริสต์มาสที่โบสถ์จึงกลายเป็นงานคริสต์มาสภายในซึ่งผมเลือกปฏิเสธที่จะร่วมงานและใช้เวลาเก็บตัวเงียบๆ คนเดียวมากกว่า เพราะในตอนนั้นผมรู้สึกไม่เป็นครอบครัวกับใครเลย

 

แต่อีก 2 ปีต่อมา…ก็มีเหตุให้ผมกลับมาทำมันอีกครั้ง

 

“เพราะว่าชีวิตของเรามันยังไม่จบไง ละครคริสต์มาสน่ะจบไปแล้ว แต่ชีวิตยังต้องไปต่อ”

 


ติดตามคอลัมน์ #เด็กสมัยนี้ ตอน คริสต์มาสไดอารี่ EP. อื่นๆ ได้ทาง https://www.choojaiproject.org/category/articles/life-series/christmas-diary/ นะคะ


Previous Next

  • Author:
  • คริสต์เตียนธรรมดาที่ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวกับงาน Event แบบคริสต์ๆ มานับไม่ถ้วน จนได้เรียนรู้ว่าการทำกิจกรรมไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เค้าเติบโต แต่การได้รู้จัก ความรัก ความเจ็บปวด การถ่อมใจ และการให้อภัย ผ่านการทำกิจกรรมพวกนั้นต่างหากล่ะ :)
  • Illustrator:
  • Narit
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
  • Editor:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน