ฟันคุดซี่สุดท้าย

EP. 35

ฟันคุดซี่สุดท้าย


 

 

เคยไหม ใจหนึ่งก็อยากเจอ

แต่อีกใจก็พยายามหลีกเลี่ยง?

 

ระหว่างยังตกลงกับตัวเองไม่ได้ ฉันก็กดเบอร์โทรศัพท์นัดพบเขาไปเสียแล้ว

 

_______________

 

บ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันมีนัดสำคัญกับผู้ชายคนหนึ่ง จำได้ดีว่าเช้าวันนั้นเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ ปากก็พร่ำอธิษฐานให้การพบกันในวันนี้ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับฉันมากนัก พอตกบ่ายฉันก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสถานที่แห่งความทรงจำ ที่เพียงย้อนนึกน้ำตาก็เอ่อล้น หลังสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ฉันก็เปิดประตูเข้าไปด้วยใจยอมจำนนต่อการเผชิญหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาที

 

“ถอดรองเท้าแล้วเข้าห้องสองเลยนะคะ คุณหมอรออยู่”

 

ตัดภาพมาที่ฉันนอนอยู่บนเก้าอี้ทำฟัน ผ้าสีเขียวเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมเลื่อนมาบังแสงจ้าจากไฟที่ส่องตรงเข้ามาในปาก สติที่มีน้อยอยู่แล้วตั้งแต่เช้าหลุดหายไปก็ในจังหวะนี้เอง

 

 

ฟิล์มเอ็กซเรย์ปรากฏบนนจอคอมพิวเตอร์ ก่อนที่หมอจะชี้ฟันคุดซี่บนขวาแล้วบอกว่า

 

“ซี่นี้ดีนะ ขึ้นตรงๆ เอาออกไม่ยาก ไม่น่าจะใช้เวลานาน”

 

“ค่ะ ดีจังเลย… แต่ซี่เดียวที่เหลือคือบนซ้ายไม่ใช่เหรอคะ?”

 

“ไม่นะ บนซ้ายเอาออกไปครั้งที่แล้วไง”

 

“เอ๊ะ แต่มันปวดซี่บนซ้ายนะคะ”

 

“งั้นขอดูหน่อยนะ”

 

“…”

 

“บนซ้ายคือฟันผุ”

 

“…”

 

“…”

 

“งั้นอุดฟันเฉยๆ ได้ไหมคะ”

 

“แต่บนขวายังไงก็ต้องเอาออกนะ มันงอกขึ้นมาแล้ว”

 

“…”

 

“ไม่ต้องเกร็งนะ ไม่ต้องเกร็ง”

 

น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนพูดกับเด็กเล็กไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เพราะหลังจากนั้น หมอก็พากย์ทุกอิริยาบทให้ฉันฟัง

 

“ฉีดยาชาเจ็บนิดนึงน้าาาา เอ้า เสร็จแล้ว!
หมอขออีกเข็ม ตรงนี้เจ็บกว่าเดิมนะ มันอยู่ตรงกระดูก”

 

“อือออ อ๋อไอ้อ้องออกอ้ออ้ายยยย”

 

“อะไรนะ?”

 

ฉีดเสร็จ แกก็ให้โอกาสฉันพูดแบบไม่มีเครื่องมือในปาก

 

“หมอไม่ต้องบอกก็ได้ คือ visual หนูแรงมาก”
(visual ในที่นี้คือ การนึกภาพตามคำพูดของหมอ)

 

หมอพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมบอกให้ฉันนั่งทำใจเป็นเวลาห้านาทีก่อนจะเริ่มผ่า

 

_______________

 

ตื่นตระหนกสุดๆ รู้ตัวว่าเผลอยกขาลอยจากเก้าอี้จนปวดน่องไปหมด ขนาดนิ้วเท้ายังจิกเกร็งเหมือนตอนใส่รองเท้าบัลเล่ต์ พอนึกขึ้นได้ทีก็คลายที ผ่านไปสักพักค่อยรู้ตัวว่าเผลอเกร็งสลับกับกลั้นหายใจ สองมือกุมกันแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ

 

ช่วงเวลาตื่นกลัวแบบนี้แหละที่พระเจ้ามักจะปรากฏ ทันทีที่หลับตา ฉันก็มองเห็นภาพพระเยซูยืนอยู่เหนือน้ำพร้อมกับบอกฉันว่า…

 

“ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์
พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้
และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้”
(1 โครินธ์ 10:13)

 

นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่พึ่งได้ฟังเทศน์ไปตอนเช้านั่นเอง จังหวะนั้นที่ได้ยินข้อพระคัมภีร์ พระเยซูก็ผายมือออกและดอกกุหลาบที่โผล่มาตามการวาดมือก็ค่อยๆ บานออกโดยมีเสียงแม่น้ำเป็น ambient (แปลว่า บรรยากาศพื้นหลัง)

 

พระเยซูเดินบนน้ำ

 

 

ฉากนี้เกิดขึ้นซ้ำไปมาเหมือนเปิดภาพไฟล์ .gif (ภาพ .gif คือไฟล์ภาพในคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งซึ่งสามารถแสดงภาพเคลื่อนวนซ้ำคล้ายๆ VDO สั้นๆ ได้) ตัดสลับกับภาพต่างๆ ตามเนื้อหาของเสียงในห้อง ที่แม้จะบอกว่าไม่ต้องบรรยายสถานการณ์ปัจจุบัน แต่หมอก็ยังพูดไปด้วยความเคยชิน 

 

“…”

 

“ผ่าแล้วน้าาา”

 

เห็นมีดเล็กกำลังทิ่มเข้าไปในเหงือก ก่อนเลือดแดงฉานจะไหลซึมออกมาตามแผล

 

“เจอแล้วๆ ตรงนี้จะตึงๆ หน่อย”

 

ภาพเหล็กสีเงินยาวๆ แหลมๆ ทิ่มเข้าไปอย่างแรงเพื่อขยับฟันให้โยก

 

“กึกๆๆๆ”

 

เสียงขยับฟันดังในหัวพร้อมภาพพระเยซูในไฟล์ .gif

 

“เสร็จแล้วววว ดึงฟันออกได้แล้ว”

 

ฟันอาบย้อมด้วยสีเลือดฝังในเหงือกหลวมๆ เสียงกรอฟันดังขึ้นพร้อมกับเสียงแม่น้ำ

 

“ขอเย็บแผลแปบเดียว เสร็จเลย”

 

ฉันสูดหายใจเพื่อเกร็งตัวเป็นครั้งสุดท้าย นี่สินะ… บททดสอบของการเชื่อและวางใจ! ในที่สุดฉันก็ผ่านมันมาได้อย่างสวยงาม

 

“เสร็จแล้ว!”

 

น้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้มยินดี ขอบคุณที่พระเจ้าอยู่ด้วยในทุกช่วงเวลาของชีวิต ได้สัมผัสกับตัวแล้วว่าแม้ในความยากลำบากทั้งหลาย ข้าพระองค์ก็ผ่านไปได้ด้วยการมีพระเยซูอยู่เคียงข้าง

 

ทว่า…อีกอึดใจก็ได้สัมผัสกับตัวอีกอย่างว่า
ความสามารถในการวางใจของมนุษย์นั้นสั้นเหลือเกิน!

 

 

เพราะยังไม่ทันขยับตัวขึ้นนั่ง ก็โดนมือใหญ่ต้านไหล่ไว้

 

“เอ๊ะ! เดี๋ยว! อย่าเพิ่งลุก”

 

“…”

 

“ขอเย็บข้างในเพิ่มเนอะ จะได้หายเร็วๆ”

 

“ฮืออออออออ…”

 

แล้วดอกกุหลาบก็บานขึ้นอีกสองสามครั้งจนเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดในวันนี้

 

_______________

 

เสร็จ! จบ!! ฉันเดินออกจากคลินิกอย่างล่องลอย ลืมทุกอย่างตั้งแต่โทรศัพท์ไปจนถึงรองเท้า นึกย้อนไปถึงฟันสามซี่ที่แล้วก็เห็นพัฒนาการของตัวเอง จากฟันคุดซี่แรกที่ร้องตั้งแต่หน้าประตูห้องตรวจจนกลับบ้าน ซี่สองที่เป็นลมไปก่อนฉีดยาชา ซี่สามที่สติแตกหยิกตัวเองจนแขนมีแต่แผล จนถึงซี่ล่าสุดที่ประทับเพียงรอยเล็บจางๆ บนหลังมือ และอาการน่องชา

 

สิ่งที่จะต้องเจอ เมื่อถึงเวลามันก็ต้องเจอ ซ้ำพอโตขึ้นยังไม่มีใครมาคอยปลอบอยู่ข้างๆ เหมือนแต่ก่อน และแม้เราจะโหยหาวันวานแค่ไหน แต่สิ่งที่ฉันในตอนนี้ทำได้มีเพียงการผ่านมันไปด้วยตัวเอง

 

และ… ใช่ค่ะ จนแล้วจนรอดฉันก็ผ่านซี่สุดท้ายมาด้วยตัวเอง
ด้วยตัวเอง… ที่มีพระเจ้าเคียงข้างอยู่ในใจ

 

.

 

ด้วยรักและเจ็บปาก


#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://www.choojaiproject.org/choo


Previous Next

  • Author:
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Perapat T.
  • Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)