ผู้เขียน: K.Jit


ข้าพเจ้าเกิดและเติบโตในครอบครัวไทยเชื้อสายจีน

 

ซึ่งประกอบด้วยเสาหลักคือคุณพ่อผู้เป็นคนจีนแท้ๆ ที่สู้ชีวิตมาโดยตลอด ถ้าใครเคยได้ยินประโยคที่ว่า “เสื่อผืนหมอนใบ” ก็คงพอจะเห็นภาพของ “ป๊า” ในสมัยก่อร่างสร้างตัวได้ ทว่าภาพนั้นไม่ใช่การหอบผ้าผ่อนย้ายถิ่นฐานมาไทย แต่เป็นการนั่งเรือกลับไปจีนเพื่อหางานทำทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีงานให้ทำที่นั่นไหม

 

ความสู้ชีวิตของป๊าในตอนนั้นทำให้เขาเลี้ยงลูกด้วยความกดดันในตอนนี้

 

เพราะเมื่อก่อนตัวเขาเคยพยายามทุกทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการมีในสิ่งที่คนอื่นมี ป๊าจึงมักจะกดดันลูกๆ โดยใช้การพูดเปรียบเทียบเสมอ

 

_______________

 

ในวัยเด็ก ข้าพเจ้าพยายามเป็นเด็กดี (ตามความหมายของพ่อแม่ทั่วไป) และตั้งใจเรียนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความที่คนในบ้านมักจะพูดยกตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบโดยเฉพาะกับเรื่องการเรียน เช่นว่า “ดูพี่สาวสิ เขาสอบได้ที่ 1 ที่ 2 ตลอด” ก็เลยเข้าใจไปว่าถ้าสอบได้คะแนนเยอะๆ แล้วครอบครัวจะรักเรามากขึ้น เลยเป็นผลให้สอบได้อันดับต้นๆ ในชั้นเรียนจนได้ไปแข่งขันงานวิชาการมากมาย

 

ตอนนั้น ข้าพเจ้าเชื่อสนิทใจว่าการจะได้มาซึ่งความรัก

ขึ้นอยู่กับการผลการเรียนและการวางตัวเป็นเด็กดี

 

ช่วงวัยเด็กจนถึงมัธยมปลายจึงเป็นชีวิตที่พยายามใช้ให้อยู่ในกรอบ และลำดับความสำคัญเรื่องเรียนมาเป็นอันดับแรกในชีวิต

 

จนกระทั่งช่วงมหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้ากำลังจะย้ายไปเรียนไกลถึงจังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่ต้องห่างจากครอบครัวมาอยู่ลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นการใช้ชีวิตก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเท่าไรนัก

 

 

ข้าพเจ้ายังกดดันตัวเอง โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่เพิ่งย้ายเข้ามาแล้วได้เจอเพื่อนหลายคนที่เก่งกว่า จึงพยายามผลักดันตัวเองด้วยการเรียนให้หนักขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่ทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าคนอื่นก็จะนึกเปรียบเทียบอยู่ในใจจนรู้สึกแย่ และยิ่งแย่ขึ้นไปอีกตอนที่ได้ยินคนในบ้านพูดเปรียบเทียบเรากับลูกพี่ลูกน้องที่เรียนเก่งๆ จนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า คิดวนเวียนอยู่ในหัวว่าอยากซิ่วไปเรียนที่อื่น เพราะถ้าสอบได้มหาวิทยาลัยที่ดีกว่านี้ หรือคณะที่ดีกว่านี้ ชีวิตคงจะดีขึ้น

 

“ดูลูกเพื่อนป๊าสิ เขานะเรียนเก่ง จบที่มหาวิทยาลัยนี้นะ…. “

“ดูลูกเพื่อนป๊าสิ เขาทำงานที่บริษัทฝรั่งนะ เขาได้เงินเดือนเป็นแสนเลยนะ….”

“ดูลูกเพื่อนป๊าสิ เขาทำธุรกิจเองนะ เขาสบายแล้ว ตอนนี้เขาก็พาพ่อแม่เขาเที่ยวต่างประเทศตลอด…”

 

คำพูดเหล่านั้นของป๊ายังฝังใจข้าพเจ้าจนถึงทุกวันนี้

_______________

 

ไม่นานนัก ระหว่างทำโครงงานในวิชาเรียนที่ต้องสัมภาษณ์คนต่างชาติ ข้าพเจ้าผู้ไม่สันทัดในภาษาอังกฤษก็มีโอกาสได้รู้จักกับฝรั่งที่พูดไทยได้จากการแนะนำของเพื่อน–เขาบอกว่าฝรั่งกลุ่มนี้เคยมาชวนไปเรียนภาษาอังกฤษที่คริสตจักรแถวหน้ามหาวิทยาลัย

 

อาทิตย์ถัดมาจึงลองไปคริสตจักรแห่งนั้นเป็นครั้งแรก

 

ประทับใจมาก เพราะหลังเลิกโบสถ์ก็มีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งช่วยข้าพเจ้าฟังบทสัมภาษณ์และทำโครงงานจนเสร็จด้วยความเต็มใจ จนเกิดคำถามว่า

 

“ทำไมเขาถึงเห็นคุณค่าในตัวของเรา?

ทำไมคนพวกนั้นถึงดูรักกัน?

สรุปแล้วคนที่โบสถ์ต่างจากคนข้างนอกยังไง?”

 

หลังจากนั้นเลยพยายามหาโอกาสไปที่นั่นบ่อยๆ ด้วยความสนใจผู้คนที่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปจากที่เคยเจอมา ประกอบกับตัวข้าพเจ้าจากบ้านมาไกล และที่นี่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนครอบครัว

 

กระทั่งได้เริ่มเรียนพระคัมภีร์จากการเชิญชวนของเพื่อนฝรั่งจึงพบเรื่องใหม่ในชีวิต นั่นคือการรู้จักกับพระเจ้าและพระเยซู มีหลายเรื่องที่เพิ่งเคยได้ยินได้ฟังเป็นครั้งแรก หนึ่งในนั้นคือเรื่องน่าทึ่งที่พระเจ้ารักเราแม้ขณะเราเป็นคนบาป

 

เรื่องนี้เปลี่ยนความคิดของข้าพเจ้าไป จากที่เข้าใจว่าต้องพยายามเป็นคนดี และเรียนให้ได้คะแนนดีเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักจากคนในครอบครัว กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่รู้แล้วว่า “พระเจ้ารักเรา”

 

พระเจ้ารัก ทั้งที่ข้าพเจ้ายังเรียนไม่เก่ง

พระเจ้ารัก ทั้งที่ข้าพเจ้ายังไม่ดีพอ

 

แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย

คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา

(โรม 5:8)

 

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจรับบัพติสมาคือการอยากได้รับความรักแบบไม่มีเงื่อนไขที่มาจากพระเยซูบ้าง

 

ต้องยอมรับเลยว่า การต้องพยายามทำให้คนรอบตัวพอใจเพื่อให้เขารักเรานั้นไม่ใช่เรื่องที่สนุกเท่าไหร่ เพราะความคาดหวังที่มนุษย์มีนั้นยากจะเข้าใจ แต่ความรักที่พระเจ้ามีให้เรานั้นแตกต่าง พระเยซูมาตายแทนทั้งที่เรายังเป็นคนบาปและไม่ดีพร้อม พระองค์รักเราในแบบที่เราเป็น ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองก็อยากจะมอบความรักให้กับคนอื่นที่อยู่รอบๆ ตัวได้บ้าง และเชื่อว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะเปลี่ยนตัวข้าพเจ้าให้ทำอย่างนั้นได้

 

_______________

 

ข้าพเจ้ารับบัพติศมาหลังจากเรียนพระคัมภีร์เป็นเวลา 6 เดือน ตอนนี้ขณะเข้าสู่ปีที่ 16 ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องดีแล้ว จากคนที่ไม่เคยมีเป้าหมายเป็นของตัวเองก็กลายเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจน และเข้าใจถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง

 

แม้ชีวิตหลังจากที่มีพระเจ้าจะไม่ได้เจอแต่เรื่องดีๆ เสมอ แต่ก็เป็นชีวิตที่มีสันติสุข เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าเห็นคุณค่าของข้าพเจ้า และเชื่อว่าสิ่งแย่ๆ หรือจุดอ่อนในตัวข้าพเจ้าจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนรอบตัวได้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์

 

แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า

“การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ

เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น

(2 โครินท์ 12:9-10)

 

ถึงวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ได้ยินคำเปรียบเทียบจากปากของคนในครอบครัว แต่ทุกครั้งที่ความเจ็บปวดนั้นเกิดขึ้น ข้าพเจ้าจะเตือนตัวเองเสมอว่า “พระเจ้ารักเรา”

พระเจ้ารักข้าพเจ้าที่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง

พระเจ้ารักข้าพเจ้าที่ยังไม่ดีพอ

และข้าพเจ้าก็รู้ว่าความรักที่พระองค์มีให้นั้นไม่เคยหมดไปเลย

 

ใคร​จะ​แยก​เรา​ออก​จาก​ความ​รัก​ที่​พระคริสต์​มี​ต่อ​เรา​ได้ ไม่​มี​เลย

แม้แต่​ความ​ทุกข์​ยาก​หรือ​ความ​ลำบาก หรือ​การ​ถูก​กด​ขี่​ข่มเหง

หรือ​ความ​อด​อยาก​หิว​โหย หรือ​การ​เปลือย​กาย

หรือ​อันตราย​ต่างๆ​ หรือ​แม้แต่​การ​ถูก​ฆ่า​ฟัน

ก็​ไม่​มี​ทาง​แยก​เรา​ออก​จาก​ความ​รัก​ที่​พระคริสต์​มี​ต่อ​เรา​ได้

(โรม 8:35)


#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://www.choojaiproject.org/choojai-forward


Previous Next