ชูใจอัพเดท ฉบับพิเศษ ตุลาคม 2020


เมื่อเดือนที่แล้วผมเห็นคนทำภาพตลกร้ายที่กำลังบอกว่าปีนี้เป็นปีที่แย่ และ ไม่รู้ว่าเดือนหน้าจะเจออะไรที่แย่กว่านี้อีก

พอถึงเดือนนี้ ประเทศของเราก็เจอวิกฤตทางการเมืองอีกลูกทันที

 

ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความกังวลในทุกๆวันต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ผมสัมผัสได้ถึงความโกรธและเกลียดที่เทใส่กัน และผมคิดว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่กำลังอึดอัดต่อความรู้สึกนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมกังวลใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เป็นเพราะการไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น หรือ รับไม่ได้กับความคิดต่างใดๆ แต่เป็นเรื่องของบรรยากาศของความเกลียดต่อคนอื่นด้วยตัวมันเองนั่นแหละ ที่น่าเป็นห่วง

 

ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เคยชิมเรื่องนี้มาหลายครั้ง เจ็บปวด ซ้ำแล้วซ้ำอีก

…………………………

ค ว า ม เ ก ลี ย ด ข อ ง  ผม

…………………………

 

มั ธ ย ม ต้ น

ครั้งแรกก็คือสมัยมัธยมต้นในโรงเรียนประจำ เมื่อเพื่อนสองคนทะเลาะกันและเกลียดกัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างไหน ผมต้องเลือก เพราะผมคงทนไม่ได้ถ้าไม่มีเพื่อนในโรงเรียนประจำเล็กๆ ที่มีกันอยู่แค่นั้น ผมเลือกและพร้อมเกลียดเพื่อนอีกคน มองทุกอย่างว่าอีกฝ่ายไม่ดียังไง และนั่นทำให้ผมอยู่ต่อไปได้ในอีกกลุ่ม

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมพบว่าเพื่อนสองคนนั้นกลับคืนดีกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเกลียดต่อเพื่อนคนนั้นไม่ได้หายไปเลย ผมไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะผมไม่ใช่คู่กรณี เขาก็ไม่เคยทะเลาะกับผม เขาคงไม่อาจขอโทษได้ และผมเองก็ไม่สามารถปลดตัวเองจากความเกลียดนั้นได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผมแต่แรก

 

มั ธ ย ม ป ล า ย

ในสมัยมัธยมปลายเรื่องคล้ายๆกันก็เกิดขึ้นอีก เมื่อมีคนทะเลาะกันแล้วไล่เพื่อนอีกคนออกจากกลุ่ม คนที่ยังอยู่ก็มักจะพูดให้ร้ายคนที่ออกไปราวกับเขาไม่มีอะไรดีและไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ซึ่งผมก็รับเอาความรู้สึกนั้นมาด้วย แต่สุดท้ายในตอนที่เรียนจบ เพื่อนคนที่ถูกเกลียดนั้น เดินเข้ามาบอกกับผมว่า ผมเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเขาคนหนึ่ง…

 

ความเกลียด(ที่ไม่ใช่ของผมเอง)ในหัวใจมันสลายไปตอนนั้น ตอนที่พบว่าเราแบกความเกลียดชังที่ไม่ใช่ของเราเอาไว้ เจ็บแค้น เย่อหยิ่ง และ คิดว่าตัวเองถูก ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของเรา

 

ม ห า วิ ท ย า ลั ย

ผมน่าจะเรียนรู้จากเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่ ในช่วงมหาลัย ผมด่าเพื่อนด้วยคำพูดที่รุนแรง ต่อเพื่อนคนหนึ่ง คนที่ใครๆก็รู้ว่าเขานิสัยไม่ดีอย่างไร ผมแค่คิดว่าเมื่อทุกคนต่อว่าเขาได้ ผมก็น่าจะด่าเขาได้ ผมกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาบอกกับผมตรงๆว่า รู้สึกเสียใจที่ผมต่อว่าเขา เพราะเขามองว่าเราเป็นคนที่สุภาพ ไม่เคยมีปัญหากับเขา เขาไม่เคยคิดว่าผมจะพูดแบบนั้นกับเขาได้ สิ่งที่ผมคิดว่า “ดี” และ “ถูกต้อง” กลายเป็นการทำร้ายคนที่ผมไม่เคยเป็นคู่กรณีอีกครั้ง ผมเพียงแต่รับเอาความเกลียดของคนอื่นมา เก็บมันไว้เป็นของตัวเอง และ ทุ่มมันใส่คนอื่นด้วยความเกลียดชัง

 

ผมเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และ สิ่งที่เสียใจที่สุดคือ

ผมไม่มีโอกาสได้ขอโทษบางคนที่ผมเคยเกลียดได้ด้วยซ้ำ

 

ทุกครั้งที่ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเกลียดชัง จึงทำให้ผมนึกถึงเรื่องเหล่านี้ที่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดบรรยากาศจากความขัดแย้งทุกๆครั้งในประเทศของเรา

…………………………

ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ มีเรื่องหนึ่งที่คอยเตือนใจผม เป็นเรื่องจากในพระคัมภีร์ เรื่องของความเกลียดชัง เรื่องของ อาหิโธเฟล

อาหิโธเฟลเป็นตัวละครที่โผล่มาสั้นๆเพียง 2 บท ใน 2 ซามูเอล 15:12 – 17:23

 

…………………………

ค ว า ม เ ก ลี ย ด ข อ ง  อาหิโธเฟล

…………………………

 

ที่ ป รึ ก ษ า

อาหิโธเฟล เป็นที่ปรึกษาของดาวิด เป็นชาว กิโลห์ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกมากถึงรายละเอียดของเขาว่าเป็นคนแบบไหน สำคัญขนาดไหน แต่ความสำคัญของเขามีมากพอให้ อับซาโลม ลูกชายคนหนึ่งของดาวิด ไปเชิญเขามาเป็นพวก ในช่วงที่อับซาโลมกำลังก่อกบฏ และ เขาก็ยอมเป็นพวกของอับซาโลม เพียงแค่ได้อาหิโธเฟลเป็นพวกเท่านั้น พระคัมภีร์ก็เล่าว่า คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

เมื่อมีคนมากราบทูลดาวิด (2 ซมอ 15:31) บอกว่าอาหิโธเฟลไปเข้ากับพวกกบฏ ดาวิดก็อธิษฐาน ขอให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป นั่นทำให้เห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญในการให้คำปรึกษาอย่างแน่นอน ดาวิดถึงกับต้องกังวล

 

ภาพยิ่งชัดขึ้นในข้อ 23 พระคัมภีร์บอกว่าคำปรึกษาของอาหิโธเฟล เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือคำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก

 

และ นี่คือสิ่งที่อาหิโธเฟล ให้คำปรึกษาแก่อับซาโลม (20-22)

 

“ให้อับซาโลมนอนกับนางสนมของดาวิด”

และ อับซาโลมก็กางเต้นท์บนหลังคาพระราชวัง และ ทำตามนั้นต่อหน้าบรรดาอิสราเอล

 

นั้นยังไม่พอ ต่อมา อาหิโธเฟล ขอทหาร 12,000 นาย เพื่อไปไล่ตามดาวิด เพราะรู้ว่าดาวิดพึ่งหนีไปได้ไม่นาน การรีบไล่ไปด้วยทหารจำนวนมาก จะจับดาวิดได้อย่างแน่นอน จุดสำคัญเล็กๆในตอนนี้ได้เปิดเผยถึงความตั้งใจลึกๆของเขา “ข้าพระบาทจะฆ่าแต่ดาวิด แล้วจะนำประชาชนทั้งสิ้นกลับมา” เหมือนจะดีต่ออับซาโลม พระราชาที่ไว้ชีวิตประชาชน แต่นั่นชี้ให้เห็นว่าอาหิโธเฟลอาฆาตต่อดาวิด ดาวิดคือคนที่เขาต้องฆ่าให้ได้

 

ทำไม อาหิโธเฟลถึงให้คำปรึกษาแบบนั้น… จากที่ปรึกษาที่น่านับถือ ราวกับบัญชาของพระเจ้า ทำไม เขาถึงอยากฆ่าดาวิด เพียงเพราะต้องการให้บ้านเมืองสงบอย่างรวดเร็วอย่างนั้นหรือ ยิ่งถ้าเราอ่านพระคัมภีร์จะเห็นว่าที่ปรึกษาของดาวิดแต่ละคนล้วนภักดีต่อดาวิดอย่างเข้มข้น แต่ไม่ใช่กับ อาหิโธเฟล ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

 

ภายหลังเราพบว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้คำปรึกษาของ อาหิโธเฟล สำเร็จ (14) อับซาโลมจึงไม่ฟังคำปรึกษาของอาหิโธเฟล และ นั่นนำไปสู่จุดจบของเขา ในข้อที่ 23 “ท่านผูกอานลากลับเมืองของตน เมื่อสั่งเสียเสร็จแล้วก็ ผูกคอตาย…”

 

เพียงแค่อับซาโลมไม่ฟัง หรือ ถ้านี่เป็นเพียงแค่ปัญหาการเมือง และ วิธีการที่ไม่ถูกเลือกของที่ปรึกษาซึ่งจะมีโอกาสที่จะไม่ถูกเลือกอยู่แล้ว เพียงแค่นี้ถึงกับต้องฆ่าตัวตายเลยหรือ? หรือว่าเป็นเพราะเขาไม่สามารถฆ่าดาวิดด้วยตัวเองได้อีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมอาหิโธเฟลถึงอยากฆ่าดาวิด อะไรคือความคับข้องใจของเขาที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

 

เรื่องนี้จะเข้าใจได้มากขึ้น ถ้าเราอ่านไปจนถึงบทที่ 23:34 และนำมาประกอบกันกับเรื่องนี้ นั่นคือในรายชื่อทหารของดาวิด ถ้าอ่านผ่านๆเราอาจเห็นเป็นเพียงรายชื่อของทหาร แต่ถ้าไล่ไปถึงข้อที่ 34 เราจะพบกับชื่อ “เอลีอัม บุตร อาหิโธเฟล ชาวกิโลห์” “เอลีอัม” ชื่อนี้นำเราย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มของเหตุการณ์ครั้งนี้ ในบทที่ 11

 

ด า ด ฟ้ า

ในขณะที่ข้าราชการทั้งสิ้นของดาวิดออกไปรบ ดาวิดกลับอยู่ที่เยรูซาเล็ม ดาวิดขึ้นไปบนดาดฟ้า ทอดพระเนตรเห็นหญิงงามคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ ชื่อของเธอคือ บัชเชบา ลูกสาวของ “เอลีอัม” นั่นหมายความว่า อาหิโธเฟล คือ ปู่ของบัชเชบา เราต่างรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมา ดาวิด ได้เข้าหา บัชเชบา แต่เมื่อรู้ว่า เธอมีสามีแล้ว คือ อุรีอาห์ จึงวางแผนออกคำสั่งให้ อุรีอาห์ สามีของบัชเชบาไปรบในสนามรบที่ดุเดือดที่สุด แน่นอนอุรีอาห์ตายในสนามรบ เมื่อเป็นเช่นนั้น ดาวิด จึงรับนางบัชเชบาที่เป็นม่ายเข้ามาดูแล

 

อาหิโธเฟล เป็นที่ปรึกษาของพระราชา คิดว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ไหม เขาจะรู้สึกอย่างไร ขณะที่เขาออกไปรบ ณ เวลานั้น หลานเขยของเขาก็อยู่ที่นั่น เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ อุรีอาห์ กับแผนส่งไปตายในสนามรบที่รบหนักที่สุด เขารู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับบัชเชบาหลานสาวของเขา เขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่เขารับใช้ หลานสาว และ หลานเขย ความเจ็บปวดที่ถูกหักหลังโดยคนที่เขาเคารพ เชื่อฟัง และ อุทิศชีวิตให้

 

ในเรื่องเดียวกันนี้ อับซาโลม ที่ก่อกบฏ และ ฟังคำของอาหิโธเฟลในตอนแรก นั่นก็เริ่มมาจากการที่น้องสาวของเขา ดีนาร์ ถูก อัมโนน ข่มขืน ดาวิดเมื่อรู้เรื่องนี้ก็กริ้ว แต่ไม่ได้มีแอคชั่นอะไร สำหรับ อับซาโลมแล้ว เมื่อไม่ได้รับความยุติธรรม การลงมือล้างแค้นด้วยตัวเองจึงเป็นทางออกของเขา

 

ความเกลียดที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย เมื่อเขาไม่สามารถระบายความแค้นนั้นได้อีก ความคับข้องใจจึงนำอาหิโธเฟลให้ไปสู่ความตาย ความแค้นของอับซาโลม ผลักดันให้เขาฆ่าล้างแค้น และความเกลียดที่เพิ่มมากขึ้นผลักดันให้เขาก่อกบฏหมายจะฆ่าพ่อตัวเอง และ สุดท้ายก็นำเขาไปสู่ความตาย เช่นกัน

 

หลังสงครามกลางเมืองนี้จบ ประชาชนยังอยู่อย่างหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เพราะไม่รู้ว่าใครพวกไหน คนที่เคยเชียร์ดาวิดที่เหมือนจะแพ้แล้วแต่ก็กลับมาชนะ ฝ่ายพวกที่ไปสนับสนุนอับซาโลมก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

 

รอยแผลของความเจ็บแค้นยังคงทิ้งร่องรอยในเรื่องราวต่อๆมา

 

…………………………

ค ว า ม เ ก ลี ย ด

…………………………

ในโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม บางครั้งความเจ็บปวดก็เกิดจากการที่เราเลือกเดินผิดทาง ในขณะเดียวกันก็มีความเจ็บช้ำที่เกิดจากคนอื่น ซึ่งเจ็บปวดยิ่งกว่าเพราะเราเป็นเพียงเหยื่อ เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นผู้ไม่ได้รับความยุติธรรม

 

ถึงอย่างนั้น ความเกลียดชังไม่ได้เลือกคนถูกหรือผิด มันกัดกินทุกคน และ โน้มน้าวเราให้ส่งต่อความเกลียดชังนั้นไปเรื่อยๆ มันเติบโตและตอบแทนผู้ที่ให้มันอยู่อาศัยไปสู่ความพินาศไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซ้ำร้าย ความเกลียดชังนั้นยังคงตกทอดได้ แม้คนต้นเรื่องแทบจะสิ้นกันไปหมดแล้ว

 

แม้แต่ตัวดาวิดที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ก็ต้องรับผลของมันด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดของท่านแสดงออกในบทเพลงสดุดี ความผิดของท่านและการลงโทษก็เป็นไปตามที่ นาธัน ผู้เผยพระวจนะบอกทั้งหมด

 

ดาวิด ได้แต่เพียงร้องไห้ และ

ลิ้มรสโศกนาฏกรรมจากผลของความบาปที่ตนได้ทำไว้

 

ในช่วงท้ายของชีวิต ดาวิดสรุปบทเรียนชีวิตด้วยเรื่องกษัตริย์ที่ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรมของพระเจ้าจะได้รับการอวยพร และ คนอธรรม จะต้องรับผลของมัน หากเราอ่านเผินๆคงเหมือนดาวิดเปรียบตนเองคือกษัตริย์ที่ชอบธรรม ส่วนคนอธรรม คงเป็นศัตรูของดาวิด แต่อันที่จริงแล้ว คนอธรรม ที่ดาวิดกำลังพูดถึง อาจหมายถึงตัวของท่านเองนั่นแหละ ที่ได้เรียนรู้ผ่านความเจ็บปวดนี้ (สดุดีบทที่ 51)

 

เราอยู่ในโลกที่บิดเบี้ยว ทุกคนต่างก็ล้วนได้รับความเจ็บปวดจากความเกลียดชัง จากผลของความโกรธ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันส่งต่อและไม่มีวันจบ มันเกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดขึ้นอีก

นั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้

 

แ ล้ ว ว ง จ ร แ ห่ ง ค ว า ม เ ก ลี ย ด ชั ง นั้ น จ ะ จ บ ล ง ที่ ต ร ง ไ ห น

.

.

.

ทางออกของเรื่องนี้ พระเยซูตอบด้วยชีวิต พระองค์มีสิทธิที่จะพิพากษาความชั่วร้าย ที่ควรจะถูกตัดสินอย่างยุติธรรมตามการอธรรมที่แต่ละคนก่อขึ้น แต่ที่กางเขนพระเยซูตัดวงจรแห่งความเกลียดชัง ด้วยการยอมรับความเกลียดชัง และ ความบาป ตรึงเอาไว้ที่กางเขนพร้อมกับตัวพระองค์เอง

 

พระองค์เลือก หยุด ความเกลียดชัง ด้วยชีวิตของพระองค์

 

การฟื้นคืนพระชนม์คือคำยืนยันว่ามันเป็นไปได้ที่เราจะหยุดเรื่องนี้ ผ่านพระองค์

…………………………

 

ผมบอกไม่ได้ว่าในเวลานี้ควรอยู่ข้างไหน แต่ถ้าเรา คริสเตียน บอกว่าพระเจ้าอยู่ข้างความยุติธรรม และเราอยู่ข้างพระเจ้า

พระองค์ได้แสดงตัวอย่างให้เราดูแล้ว คือที่กางเขน ที่ที่พระองค์ดื่มและรับผลของความเกลียดชังของพวกเราเข้าไป แทนเรา

ทางเลือกเป็นของเราเสมอ ผมขออธิษฐานเผื่อพวกเราที่จะห่างไกลจากการเป็นเหยื่อของความเกลียดชังที่ทวีขึ้นในทุกวัน ขอพระเจ้าจะเมตตาในทุกๆการตอบสนองของเรา และ ประเทศของเรา

…………………………

ด้วยรักและชูใจ

ท็อป

…………………………

 

เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม
คือปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
เขาทอแสงเหนือประชาชนเหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น
คือรุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ
ซึ่งเมื่อภายหลังฝน กระทำให้หญ้างอกออกจากดิน . . . 
. . . แต่คนที่อธรรมก็เป็นเหมือนหนามที่ต้องผลักไสไป
เพราะว่าจะเอามือหยิบก็ไม่ได้
แต่คนที่ถูกต้องมัน
ต้องมีอาวุธที่ทำด้วยเหล็กและมีด้ามหอก
และต้องเผาผลาญเสียให้สิ้นเชิงด้วยไฟ
2 ซามูเอล 23 : 3 – 7
.

Previous Next