คนต้นเรื่อง : อ่านล่องไปกับเรือทุกตอนได้ที่ : https://www.choojaiproject.org/category/articles/life-series/journey-with-logoshope/


.

______________________________

“Attention Ship Company! It’s now time to say goodbye to our funny crazy bossy and lovely Dining Room Queen, Tina Nanta. If you would like to say goodbye to her, please come to Deck 5 Lobby.” (ลูกเรือทุกคนโปรดทราบ ถึงเวลาที่เราจะต้องบอกลาควีนทีน่าผู้น่ารักสดใส ประจำห้องทานข้าวของเรา ถ้าใครอยากจะบอกลาทีน่าสามารถมาได้ที่ล๊อบบี้ชั้น 5 ค่ะ)

____________________________

เสียงตามสายประกาศดังกึกก้องไปทั้งเรือตอน 3 ทุ่มของ วันที่ 2 พย. 2016 ณ เมือง พราย่า (Praia) เกาะเคปเวอเด (Cape Verde) มันเป็นวันที่ฉันต้องบอกลาเรือแห่งความหวัง สถานที่ซึ่งเป็นบ้านตลอดช่วงเวลา 3 ปีกับ 2 เดือนเต็ม ทำให้ฉันได้พบเพื่อนจากทุกมุมโลก เป็นทั้งที่พักพิงใจ และเป็นที่สร้างตัวตนของฉันขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในวันนั้นฉันรู้สึกอยู่เต็มหัวใจว่า ฉันไม่อยากจะจากไป ฉันไม่อยากกลับ ฉันตกหลุมหลงรักเรือลำนี้เข้าอย่างจังเสียแล้ว

.

แต่ที่สำคัญคือ…​ฉันไม่อยากที่จะเริ่มต้นใหม่… อีกครั้ง

มันเป็นธรรมเนียมของเรือ เมื่อมีลูกเรือที่จะต้องกลับบ้านอย่างถาวร ลูกเรือคนอื่นๆ จะต่อแถวเดินเรียงเข้ามากอดและกล่าวคำอำลากับเราทีละคนๆ หนุนใจเราอธิษฐานเผื่อเรา กล่าวขอบคุณเราที่รับใช้อย่างสัตย์ซื่อในเรือมาโดยตลอด และอาจจะมอบของที่ระลึกให้เราด้วย ณ ตอนนั้นเราต่างถ่ายรูปกันเก็บไว้เป็นที่ระลึก หรือพูดคุยหัวเราะตลกกับเรื่องที่ผ่านมาด้วยกัน หรือบางครั้งก็ยืนกอดคอร้องไห้ด้วยกัน

ก่อนที่ฉันจะลงเรือ ฉันได้มอบหน้าที่ให้กับ Dining Room Manger คนใหม่ ฉันสอนทุกสิ่งที่ฉันสามารถจะหยิบยื่นให้กับเธอได้ พาเธอเดินดูทุกห้อง ทุกมุมที่อยู่ในความรับผิดชอบและยังสอนลูกเรือผลัดใหม่ที่เข้าประจำการในเรือด้วยเช่นกัน จะว่าไป ฉันก็ยังคงจุ้นจ้านช่วยงานคนอื่นอยู่ตลอด ทั้งช่วยเช็ดโต๊ะ ช่วยล้างจาน ช่วยงานอีเว้นท์ในเรือ ช่วยทำความสะอาดห้องน้ำ ช่วยดูดฝุ่น ช่วยซ่อมชุดยูนิฟอร์ม ช่วยเย็บผ้าเช็ดจาน ช่วยทำอาหาร คือ เข้าไปช่วยทำทุกอย่างเพื่อที่ตัวเองจะไม่ฟุ้งซ่าน และอยากจะซึมซับทุกๆ สิ่งก่อนที่จะกลับบ้าน

เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนก่อนขึ้นเรือ ฉันตั้งเป้าและอธิษฐานว่า ปีแรก ฉันอยากจะเรียนรู้ทุกสิ่งในเรือให้ได้มากที่สุด ซึ่งพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานนั้น ฉันได้ทำงานหนัก แบกหาม ยืน เดิน ได้เป็นหัวหน้าทีม ได้ดูแลเอาใจใส่คนในทีม ฝึกการพูดให้ชัดเจน ฝึกสอนคนให้ทำงานเป็น ฝึกตัวเองให้เป็นหัวหน้าที่ดี ฉันได้จัดการดูแลอาหารในอีเว้นท์ ได้เรียนรู้เรื่องการจัดการเมื่อต้องทำงานคนเดียว และเรียนรู้การทำงานเป็นทีม


พอย่างเข้าปีที่สอง ฉันตั้งใจและอธิษฐานอีกว่า ฉันอยากจะมีส่วนร่วมในพันธกิจของทุกประเทศที่ฉันไปเยือน พระเจ้าก็นำฉันให้ไปอยู่ที่เกาะในประเทศฟิลิปินส์ ซึ่งเป็นที่ที่สอนฉันให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการเป็นมิชชันารี และก็เป็นประเทศที่ฉันได้มีโอกาสไปพักใน Guest house อย่างที่ฉันคิดอยากจะเปิดในอนาคตด้วย

จากนั้นไม่นาน เมื่อรู้ว่าต้องอยู่ต่อเรืออีกปีเป็นปีที่สาม ฉันก็ไม่รีรอที่จะอธิษฐานและตั้งเป้าว่า ฉันอยากจะเป็นแบบอย่างและเป็นผู้นำที่ดี ฉันอยากจะเป็นผู้ใหญ่ที่เด็กๆ วัยรุ่นจะเอาเป็นตัวอย่าง พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของฉันด้วยการส่งผู้คนมากมายหลากหลายบุคลิกให้ฉันได้พบปะ ปะทะอารมณ์ และพระเจ้าก็สร้างความเป็นผู้นำให้กับฉันผ่านลูกเรือทั้ง 15 คนที่ฉันต้องดูแล มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่ต้องรับมือกับอารมณ์ของคนจำนวนมาก หรือ แม้แต่ต้องมานั่งแก้ปัญหาที่ฉันไม่ได้สร้างมันขึ้นมา เรื่องราวที่เจอในตอนนั้นทำให้ฉันถึงกับมีคำพูดติดปากเลยว่า ‘ฉันชอบอยู่กับอาหารมากกว่าอยู่กับคน ซึ่งพระเจ้าคงไม่ค่อยชอบประโยคนี้ของฉันซักเท่าไหร่ พระองค์จึงส่งคนมาเรื่อยๆ เพื่อให้ฉันหัดรักคนให้มากพอๆ กับที่รักการทำอาหาร

 

3 ปี ฉันมีเพื่อนเกือบทุกมุมของโลก ฉันได้แบ่งปันชีวิต ความคิดและทัศนคติกับคนหลากหลายวัฒนธรรม เข้าใจความเป็นยุโรป ลาติน อเมริกา อาหรับ แอฟริกา หรือ หมู่เกาะทั้งหลาย ผ่านทางเหล่าลูกเรือที่ฉันได้ใช้ชีวิตด้วย

3 ปี ที่พระเจ้าสร้างฉันขึ้นมาใหม่ ทรงทำให้ตัวตนที่หลบซ่อนอยู่ของฉันค่อยๆเปิดเผยออกมาชัดเจนขึ้น ฉันปากกล้า (ในทางที่ดี) มากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะยืนหยัดในความคิดของตัวเอง ฉันมีความมั่นใจมากขึ้น ฉันไม่อ่อนแออีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ได้ทรงสร้างจิตใจที่อ่อนโยนมากขึ้นให้ฉันด้วย ฉันกลายเป็นคนที่มองโลกกว้างขึ้นและเข้าใจโลกในมุมกว้าง ไม่มองเฉพาะตัวฉันและโลกของฉันอีกต่อไป ฉันเข้มแข็งและมั่นคงในความเชื่อมากขึ้น ณ ตอนนี้ฉันเป็นเหมือนต้นไม้ที่พร้อมจะผลิดอก ออกผลแล้ว

.

และก็เป็น 3 ปี ที่ทำให้ฉันคิดว่า ตัวฉันเองสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ เพราะฉันสามารถปรับตัวได้ดี ฉันหาเพื่อนผูกมิตรได้ค่อนข้างเร็ว และฉันก็พร้อมที่จะเดินทางไปไหนก็ได้ที่พระเจ้าต้องการจะส่งฉันออกไป นั่นเป็นสิ่งที่ฉันพกติดตัวออกมาจากเรือ เพื่อกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน

จนถึงตอนนี้ กลับบ้านมาได้ 4 เดือนแล้วค่ะ ความรู้สึกตอนที่เพิ่งกลับมาเหมือนต้องมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แบบว่า… กลับมาอยู่ที่เดิมแต่มันไม่เหมือนเดิมค่ะ มันยากอยู่เหมือนกันนะคะ ชีวิตต้องเจอกับอาการ Reverse Culture Shock เช่น ต้องมาเจอรถติดกว่าเดิม ต้องกลับมาคิดทุกวันว่า เย็นนี้จะกินอะไร เลิกงานแล้วทำอะไรดี เพื่อนคนนี้จะว่างคุยกับฉันไหม เพื่อนกลุ่มนี้จะยังต้อนรับเราอยู่ไหม เห้ย คุยเรื่องอะไรกันอ่ะ แล้วก็รู้สึกสงสารบางคนที่ต้องฟังแต่เรื่องบนเรือ แม้กระทั่งในบางคืนความคิดถึงเรือมันมีมากจนคับอกคับใจไปหมด แต่นั่นก็เป็นอาการปกติของคนที่จากบ้านไปนานๆ ค่ะ (เขาว่าอย่างนั้น) ซึ่งฉันก็ยอมรับว่า ฉันยังต้องต่อสู้และปรับตัว ปรับความคิดอยู่มากทีเดียว

3 ปีที่ผ่านมาชีวิตเราเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับชีวิตคนรอบข้างที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ฉันต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ต้องให้เวลาตัวเองในการปรับตัว อย่ารีบร้อน และให้เวลาคนรอบข้างเรียนรู้จักตัวตนใหม่ของฉันด้วย

ณ ตอนนี้ ฉันอยู่บนบกแล้ว ตัวฉันติดพื้นดินแล้ว ฉันกลับมาบ้านแล้ว ฉันต้องยอมรับและเดินหน้าต่อไป มองไปข้างหน้ากับพระเจ้า แม้ว่าใจฉันจะยังร่ำร้องโหยหาที่จะเดินทางอีกครั้งก็ตาม เหมือนในพระคำ ฟิลิปปี 3:13 ได้ปลอบประโลมใจฉันว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือ ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมา แล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า”

หากการกลับบ้านครั้งนี้ คือ มิชชั่นใหม่ที่พระเจ้าทรงมอบให้ไว้ ฉันก็ต้องดึงใจของฉันกลับมาที่นี่ และต้องเต็มที่กับการใช้ชีวิต เต็มที่กับการรับใช้พระเจ้าที่บ้านให้เหมือนกับที่อยู่ในเรือให้ได้ และถึงแม้การล่องไปกับเรือจะจบลงไปแล้ว แต่การล่องไปบนทะเลแห่งชีวิตของฉันก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว พระเจ้าทรงนำพาและเปลี่ยนแปลงฉันผ่านมรสุมคลื่นลมแรงมาได้อย่างไร พระองค์ก็จะทรงนำพาชีวิตของคุณให้ไปต่อได้อย่างที่ฉันผ่านมาแล้วค่ะ

.

ด้วยรักและกลับขึ้นฝั่ง

ทีน่า


เรื่องราวล่องไปกับเรือทั้ง 3 season ได้จบลงแล้วแชาวชูใจสามารถติดตามเรื่องราวอื่นๆ ได้อีกนะคะที่ : https://www.choojaiproject.org/category/articles/life-series/


Previous Next

  • Author:
  • ทีน่า : สาวผู้ใฝ่ฝันจะเดินทางรอบโลก แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อพระเจ้านำเธอให้พบเจอกับเรือ 'โลโกสโฮป' เรือแห่งความหวังที่จะนำพาเธอไปผจญโลกกว้างโดยไม่ต้องเป็นเมียทูตแต่อย่างใด
  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Namita
  • สาวน้อยล่ามญี่ปุ่น ผู้เอ็นจอยกับการกินไปลดน้ำหนักไป เธอผู้มีความคาวาอี้อยู่ตลอดเวลายังมีความสามารถในการเรียบเรียงงานเขียนได้เป็นเลิศอีกด้วย