ผู้เขียน: KRYSTI WILKINSON
ต้นฉบับ:( www.relevantmagazine.com)


 

ฉันกำลังนั่งคุยกันอยู่ในกลุ่มเรื่องการเดทกัน…

 

ในตอนที่มีคนถามคำถามยอดฮิตขึ้นมาว่า “สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นโสดคืออะไร?”

แล้วมีหนุ่มสองคนให้คำตอบประมาณว่า “ความเหงา” “ต้องมั่นหน้าเข้าไว้ทั้งที่ยังขาดแฟน” หรือ “ตอนที่เพื่อนเข้าประตูวิวาห์อย่างน่าอิจฉา” ก็เหมือนทั่วๆ ไปแหละ ฉันจึงเริ่มพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ได้จะพูดข่มนะ แต่ที่เธอพูดมา ก็ไม่เห็นจะยากตรงไหน”

“คืองี้ โสดน่ะมันยากจริง แต่มีแฟนนี่ก็ยากพอๆ กัน ก็ชีวิตเป็นเรื่องยาก ฉันไม่เห็นว่าการมีหนุ่มหล่อมานั่งกุมมือแล้วมันจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แล้วก็ไม่เห็นด้วยว่าชีวิตมันจะยากขึ้นตรงไหนถ้าเราไม่ได้มีใครมาส่งข้อความบอกฝันดีก่อนนอน”

_______________________

ไม่มีใครชอบเป็นโสดหรอก (จริงดิ๊?)

ถึงฉันจะเชื่อมั่นในความคิดนี้ของตัวเองแบบสุดๆ และอยากเล่าให้นักเรียน ม.ปลายของฉันได้ฟังเรื่องนี้ซะเหลือเกิ๊นนนน แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดให้ใครฟังหรอก เพราะฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรจะมีความคิดแบบนี้ ยิ่งในโบสถ์ด้วยแล้วนะ

ฉันนึกถึงตอนที่เคยนั่งกินข้าวกับเพื่อนแล้วคุยเรื่องความสัมพันธ์ จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาแบบที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “นี่เธอ ไม่มีใครชอบการเป็นโสดหรอก!”

ฉันแสร้งหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าที่คิด ตอนขับรถกลับบ้านก็คิดวนไปวนมาว่า “เธอไม่มีสิทธิ์มาบอกว่าฉันควรรู้สึกยังไง แล้วก็ไม่มีสิทธิ์มาบอกว่าฉันควรชอบหรือไม่ชอบอะไรด้วย” ฉันไม่ได้โกรธเพื่อนคนนั้นหรอก แต่โกรธสังคมต่างหาก ก็เพราะว่า ฉันดันชอบความโสดเอาซะนี่!

เวลาที่แนวคิดแบบนี้ถูกโพล่งออกมากลางวงคริสเตียน คนพูดก็อาจจะถูกมองว่าเป็นคน…
ก. ขี้ประชด (คนที่โอดครวญว่าอยากมีชีวิตคู่สุดโรแมนติก และเห็นว่าความโสดเป็นของประทานที่ไม่มีใครอยากได้ )
ข. ปากอย่างใจอย่าง (คนที่เฟ้นหาคู่ครองเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ชั้นจิไม่พูดออกไปหรอกนะ) หรือไม่ก็
ค. พวกไม่ยอมรับความจริง (มัวแต่ฟินจิกหมอน เพ้อฝันตามฉากหนังรักโรแมนติก)

โบสถ์ส่วนใหญ่ไม่รู้จะรับมือกับคนแบบฉันยังไงดี เพราะคิดๆ ไปแล้ว การแต่งงานเป็นอะไรที่ชวนฝัน แล้วทำไมฉันถึงไม่ไฟว์ทเพื่อมันบ้างล่ะ? ฉันไม่ได้ต่อต้านการมีแฟนนะ แล้วก็ไม่ได้เกลียดผู้ชายด้วย แล้วก็ไม่ได้เกลียดผู้ชายด้วย ใช้ชีวิตผจญภัยแบบฉายเดี่ยวไปจนกว่าจะได้เจอผู้ชาย (ในฝันคนนั้น) ที่รู้สึกว่าเขามีค่าพอให้เชื้อเชิญมาร่วมเดินทางไปด้วยกันเท่านั้นเอง

อันที่จริงแล้วความโสดก็คือการเดินทาง โสดไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนล้มเหลว หรือเป็นคนแปลกประหลาด และไม่ใช่เพราะคุณรักษาความสัมพันธ์กับแฟนเก่าไว้ไม่ได้จนสูญเสียเค้าไป เหตุผลง่ายๆ ก็คือตอนนี้คุณยังไม่ได้เจอคนที่จะเป็นคู่เดินทางในชีวิตเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

.
มันไม่เป็นไรจริงๆ!

ความเหงาไม่ได้มีไว้สำหรับคนโสดเท่านั้น

ความเหงาน่ะเป็นสิ่งที่คนโสดฝึกปรือมาเพื่อรับมือมัน มันเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้กันมาและเป็นหัวข้อที่เรามักจะพูดถึง แน่นอนว่าความเหงาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนโสดโดยทั่วไป แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คนโสดที่รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว แม้แต่แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายหรือความสัมพันธ์ที่ขึ้นหน้าเฟซบุ๊คอย่างเป็นทางการก็ไม่ช่วยเยียวยาความเหงาเลย

_______________________

เราทุกคนรู้สึกเหงา

ก็เพราะเราต่างโหยหาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและเปี่ยมด้วยความหมาย ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ยากถึงแม้จะมีแฟนก็ตาม เพราะบางทีก็คุยกันไม่รู้เรื่อง มีความเห็นแก่ตัว และไหนจะวันแย่ๆ ทั้งหลายอีก จริงๆ คนโสดควรจะได้เห็นว่าความเหงาน่ะยังคงมีอยู่แม้จะแต่งงานหวานชื่นไปแล้วก็เถอะ และคู่แต่งงานเองก็ควรมีอิสระที่จะระบายความรู้สึกอันหนักอึ้งของพวกเขาบ้างเช่นกัน คริสเตียนควรหยุดสร้างกระแส “อยู่อย่างเหงาๆ แบบคนโสด” ได้แล้ว เพราะนั่นก็เป็นการสร้างภาพโดยไม่ได้ตั้งใจว่า การแต่งงานคือทางออกของความเหงา

เรามักพูดกันว่าชีวิตโสดมันเหงาแค่ไหนหรือยากมากเท่าไหร่ ต้องฟันฝ่าอะไรบ้าง ฉันรู้ว่าบางคนเกลียดการเป็นโสด และไม่ได้จะดูถูกความต้องการที่จะแต่งงาน ฉันแค่อยากจะชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของความโสดก็เท่านั้น

_______________________

นอกเหนือจากคำพูดที่ว่า “ฉันมีเวลาว่างเพื่อจะรับใช้พระเจ้ามากขึ้นนะ” และคำพูดอื่นๆ ตามแบบฉบับของคริสเตียน ฉันคิดว่าคนโสดก็ได้ประโยชน์แท้จริงหลายอย่าง ซึ่งแตกต่างออกไปตามแต่ตัวบุคคล เหมือนอย่างที่ฤดูกาลชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ชีวิตในรั้วมหาลัยหลายปีของฉันต่างจากคุณแน่นอน งานแรกที่ฉันได้ทำหลังจบมาก็ไม่เหมือนคนอื่น และช่วงเวลาแห่งความโสดของฉันก็จะแปลกแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นฉันจึงเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเป็นโสด และไม่ใช่ทุกคนที่ชอบช่วงเวลาที่เรียนมัธยม

ปัญหาจะเกิดขึ้นถ้าหากเรามัวทุ่มเทชีวิตเพื่อเฝ้ารอ หรือมัวแต่คิดว่าคงไม่มีวันได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ได้ถ้าหากไม่มีใครคนนั้น อย่าไหลไปตามกระแสที่ว่าเราคงไม่มีค่าควรคู่กับชีวิตแต่งงาน และที่สำคัญ คุณไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะเจอคู่พระพรถึงจะเริ่มใช้ชีวิตอย่างมีความหมายได้!

.

ถึงตรงนี้ อยากให้คุณเข้าใจว่า ความโสด กับความเหงามันไม่เหมือนกัน

ความเหงา=อารมณ์ความรู้สึก, ความโสด=สเตตัส

.

ความจริง ไม่ว่าเราจะอยู่ในสเตตัสไหน เราก็มีความรู้สึกเหงากันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะ โสดแต่กำเนิด โสดจำเป็น โสดเป็นครั้งคราว มีแฟน หรือ แต่งงาน เราก็รู้สึกเหงาได้ เช่นเดียวกันกับ ที่เรารู้สึก สุข เศร้า โกรธ เบื่อ

และเช่นเดียวกับความรู้สึกอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์ ความเหงา ก็มีประโยชน์ ของมัน ความเหงา เปล่าเปลี่ยว ว้าเหว่ เป็นเครื่องเตือนให้ คนเรารู้ว่า เราไม่สามารถอาศัยอยู่ในโลกนี้คนเดียวได้ แต่ก็อย่างที่ฉันบอกคุณไปแล้วนั่นแหละ คนรักหรือคู่แต่งงานก็ไม่ใช่คนที่จะเติมเต็มความเหงาให้หายไปได้หรอก การแต่งงานไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ไม่อย่างงั้น คนที่มีคู่ก็คงไม่เหงาอีกต่อไปใช่มั้ย?

ความเหงา ทำให้เราเข้าใกล้ใครสักคนมากขึ้น ซึ่งคนๆ นั้น อาจไม่ใช่ แฟน หรือคนรักก็ได้ อาจเป็นเพื่อนรู้ใจ สักคน หรือ งานอดิเรกสุดโปรด หรือ ได้ใช้เวลากับตัวเองรู้จักตัวเองมาขึ้น และที่สำคัญ เราสามารถใช้ความเหงาในการเข้าหาพระเจ้าผู้เป็นคำตอบของความสุขแท้ใจจิตใจ

ความเหงา ทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้ามากยิ่งขึ้น และพระองค์เติมเต็มเราได้แน่นอน อย่าลืมว่าพระเจ้าสร้างเราให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ และถ้าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ เราจะไม่มีเวลาเหงาเลยเพราะพระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา อาจฟังดูเกินจริงไปนิด แต่นี่แหละ คือหน้าที่ของความเหงา ที่พระเจ้าใส่ไว้ในใจของมนุษย์ เพื่อให้เราแสวงหาพระองค์

“ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน”
ยากอบ 4:8

ถ้าคุณเกลียดการเป็นโสดนัก รู้สึกว่ามันสุดจะทน รู้สึกเหงา ฉันอยากจะบอกคุณว่า คุณมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกในสิ่งที่คุณรู้สึกอยู่ตอนนี้ แต่หยุดเปรียบเทียบว่าความโสดก็คือความเหงาเถอะนะ หยุดเหมารวมว่าการเป็นโสดคือการอยู่แบบไม่มีความสุข และหยุดมองว่าการเป็นโสดคือการอยู่แบบครึ่งๆ กลางๆ เพราะยังไม่มีใครอีกคนมาเติมเต็ม มุมมองแบบนี้แหละคือตัวชักนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข และนั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อตัวคุณแน่ๆ


คอลัมน์ Love Coach บทความถามตอบปัญหาหัวใจ ปรึกษาปัญหาความรักแบบพี่อ้อยพี่ฉอดเวอร์ชั่นคริสเตียน และบทความแปลในประเด็นของความรัก ติดตามอ่านได้ทุกวันอังคารสีชมพูววววว ที่เว็บชูใจนะจ๊ะ


Previous Next

  • Translator:
  • Nava
  • หนึ่งในทีมผู้แปลชูใจ ผู้สืบทอดกิจการสายไหมของครอบครัว จบศึกษาอิงค์ แต่ไม่ได้อยากเป็นครูในระบบ มีความมุ่งมั่นที่จะตามหาฝันไปไกลถึงเมืองที่มีแกะมากกว่าประชากรในประเทศ
  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Gade Rammasoon
  • จากแฟนคลับชูใจ พลิกผันมาเป็น Editor เรียบเรียงคำแปลในทีมชูใจ เธอผู้นี้ถวายตัวรับใช้พระเจ้ากับ YWAM มีทั้งงานแปล งานสอน และเต้นรำเพื่อการนมัสการ! ภารกิจรัดตัวแต่ก็ยังอาสามาช่วยชูใจน้องๆ กัน