เมื่อผู้ส่งสารแจ้งข่าวเสร็จ! ดาวิด ลุกขึ้น และตัดสินใจอย่างฉับพลัน  “พวกเราต้องรีบหนีออกจากเมืองให้เร็วที่สุด”  ไม่อย่างนั้นคงต้องตายจากสงครามกลางเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะทหารอิสราเอลหมื่นๆ ที่แปรพักตร์นำโดยอับซาโลม กำลังตรงมาที่เยรูซาเล็ม  (2 ซมอ. 15 )

 

………………………………

ข่าวที่พุ่งเข้ามาแต่ละวันในช่วงนี้ทำให้ใจที่หวาดหวั่นอยู่แล้วได้เพื่อนเพิ่มอีกคนคือความสิ้นหวัง ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตของเรารู้สึกไม่มั่นคง ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะรอดไหม ยิ่งคิด ยิ่งเครียด ยิ่งกังวล ยิ่งกลัว ทำไงดี?

 

อธิษฐานสิ!

 

มีแต่คนบอกให้อธิษฐาน…
ก็รู้นะ แต่จะอธิษฐานยังไง ในเมื่อในใจกำลังกลัว หดหู่ วิตกกังวลไปหมด

 

ลองมาดูคำอธิษฐานของดาวิดในสดุดีบทที่ 3 ที่กลายเป็น ‘ต้นแบบ’ ของคำอธิษฐานผ่านความกลัว เมื่อท่านต้องอยู่ในเวลาแห่งความเป็นความตายจากเงื้อมมือของอับซาโลม

 

 

สดุดี 3
คำอธิษฐานผ่าน…ความกลัว

 

ข้าแต่พระยาห์เวห์ คู่อริของข้าพระองค์ทวีขึ้นมากเหลือเกินคนมากมายกำลังลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์”

 

(1) ดาวิดเริ่มจากการ “มองหาต้นตอ” ของความรู้สึก

ในเวลานี้สิ่งที่ดาวิดพบคือความกลัวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น “คนมากมาย” “ศัตรูทวี” “คู่อริมากมาย” เขาย้ำถึงสามครั้ง นี่คือต้นเหตุของความกลัว ทหารจำนวนมากกว่า 12,000 คนกำลังไล่ตามเขา สิ่งนี้ทำให้เขากลัว แต่นี่ยังไม่ใช่ความกลัวทั้งหมด เขายังตามหาต้นตอของความรู้สึกนั้นลึกลงไปอีก

 

หลายคนกำลังกล่าวถึงข้าพระองค์ว่า
ไม่มีการช่วยกู้จากพระเจ้าสำหรับเขา

 

(2) คำชวนเชื่อของอับซาโลมที่ป่าวประกาศไปทั่ว แม้แต่ดาวิดเองก็ได้ยิน ไม่ใช่ว่าอับซาโลมไม่เชื่อพระเจ้าจึงกล่าวแบบนี้ แต่เพราะต้นทางของเรื่องนี้คือความบาปของตัวดาวิดเอง ความผิดนี้เปิดช่องให้เกิดคำถามที่เขย่าตัวตนของเขา

 

พระเจ้าจะยังอยู่กับเขาไหม ?

 

หากมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ตอนที่ผู้เผยพระวจนะไปตามหากษัตริย์ในบ้านของเจสซี ลูกชายที่น่าจะเข้าเค้าได้ถูกพามาเดินต่อหน้าผู้เผยพระวจนะ แต่นั่นไม่ใช่คนที่ถูกเลือก แต่คนที่ถูกเลือกกลับเป็นลูกชายที่ไม่ได้อยู่ในบ้าน (คือพ่อน่าจะคิดว่าคนนี้น่าจะตกรอบแรก) และเขาเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่ง เด็กชายผิวแดงๆ น่ารัก ที่ไม่มีแววที่จะเป็นกษัตริย์ใดๆ แต่พระเจ้าก็เลือกเขาให้เป็นกษัตริย์ นั่นคือ ดาวิด

 

เมื่อเขาต้องหนีจากการตามล่าของ ซาอูล พระเจ้าก็ปกป้องเขา จนในที่สุดก็นำเขาให้เป็นกษัตริย์ตามที่พระเจ้าบอกกับเขาจริงๆ พระเจ้านำให้เขาเป็นกษัตริย์ที่ดีมีชื่อเสียง เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เป็นพ่อที่ดีของครอบครัว

 

แต่แล้วก็ถึงจุดพลิกผัน คือ เมื่อเขาทำบาป โลกของเขาพังพินาศ ครอบครัวฆ่ากันเอง บัลลังก์กษัตริย์ถูกแย่งชิง ประเทศที่ปกครองแตกแยกแบ่งฝ่ายใกล้กลายเป็นสงครามกลางเมือง

 

ไม่น่าแปลกที่อับซาโลมจะประกาศแบบนี้ และคนมากมายก็เห็นด้วย ก็เพราะดาวิดทำบาป แม้พระเจ้าอาจเคยเลือกดาวิด แต่ตอนนี้น่าจะไม่แล้ว!

 

ไม่มีการช่วยกู้จากพระเจ้าสำหรับเขา

 

แม้แต่ตัวดาวิดเองก็สงสัย ก็ถ้าพระเจ้านำเขามาเป็นกษัตริย์ แต่เมื่อเขาไม่ได้เป็นกษัตริย์ พระเจ้าจะนำเขาอยู่ไหม? เมื่อเขาอยู่ในทางของพระเจ้า พระองค์อยู่กับเขา แต่เมื่อเขาทำบาป พระองค์จะยังอยู่ด้วยไหม?

………………………………

ความกลัว เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ บางทีความกลัวทำให้เราตื่นตัว ตอบสนองฉับไวก็ช่วยให้เรารอดได้ แต่ความซับซ้อนของความกลัวที่มาเป็นแพ็คเกจ คือ ความวิตกกังวล ความวิตกนี้ต่างจากความกลัวแบบฉับพลัน มันวนเวียนอยู่ในความคิด เชื่องช้าแต่วนเวียนไปมา ความวิตกจะค่อยๆ กัดกิน “ตัวตน” อันเปราะบางของเราจากภายใน เมื่อถึงจุดที่ความวิตกกังวลกับความกลัวบรรจบกัน ตัวตนเราก็แตกสลาย กลายเป็นความรู้สึกไร้ค่าและนั่นเปิดประตูสู่ความสิ้นหวังในชีวิต

………………………………

ดาวิดเองก็กำลังถูกเขย่าด้วยความรู้สึกนี้เช่นกัน

ถ้าเขาไม่ได้เป็นกษัตริย์ ตัวตนของเขาคืออะไร?
เขาเป็นแค่ลูกคนเล็ก เป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะที่ไม่มีใครสนใจ?
ดาวิดจริงๆ นั้นคือใคร?

………………………………

ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์”

 

ใช่แล้ว พระองค์เป็นโล่ พระองค์ก็ต้องป้องกันเรา ช่วยคุ้มกันเราไม่ให้ต้องเจอกับอะไรที่ไม่ดี ขอบคุณพระเจ้า!!!

 

ถ้าอ่านถึงตอนนี้ ขอให้หยุดคิดสักนิด

 

ดาวิดเป็นนักรบ การที่นักรบต้องการโล่เข้าสนามรบ คงไม่ได้ทำเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับเรื่องที่ไม่ดี แต่กลับกัน เพราะเขารู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องที่ไม่ดี เรื่องที่ทำให้ถึงตาย จึงต้องมีโล่ที่จะป้องกันจุดที่อาจทำให้ถึงตายเหล่านั้น

 

เราจึงต้องมีโล่ ไม่ใช่เพื่อจะไม่เจอสิ่งไม่ดี แต่การที่ต้องมีโล่เพราะเรารู้ว่าจะต้องเจอสิ่งที่ถึงตายแน่ๆ

 

ดาวิดขอให้พระเจ้าเป็นโล่ เพราะตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง ในขณะที่ความกลัว ความวิตกกังวลกัดกินเขาจากภายใน และเรื่องราวภายนอกก็อาจเลวร้ายลงไปอีก เขาอาจถูกจับได้ เขาอาจ “ตาย” ในที่สุด

 

ในความสับสนนั้น เขาอธิษฐาน ขอพระเจ้า ปกป้องจุดที่อาจทำให้ถึงตายได้ของเขา…

ขอพระเจ้าเป็นโล่ล้อมเขา ล้อมตัวตนของเขา

………………………………

เวลาที่เราต้องเผชิญเรื่องที่เลวร้าย ความกลัว ความสับสน ความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะพระเจ้าทิ้งเราไปแล้วหรือเปล่า หรือ ถ้าพระเจ้าดีจริง ถ้าพระเจ้ายังอยู่ พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจ ทำไมพระองค์ไม่ป้องกันเรา ทำไมถึงเกิดขึ้น หรือ แท้ที่จริงแล้ว

 

ไม่มีพระเจ้า?

 

พระเจ้าในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่เราอ่าน พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่า เมื่อเรามาเชื่อพระองค์ จะไม่เกิดสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา

 

แต่พระองค์สัญญาว่า เมื่อเราต้องเผชิญปัญหาในโลกที่แตกสลายเพราะความบาปของมนุษย์ พระองค์จะสถิตอยู่ด้วย

 

ในพระคัมภีร์บางครั้งเราเห็นการช่วยกู้ของพระเจ้าจากวิกฤติ แต่บางครั้งพระเจ้าก็อนุญาตให้บางอย่างที่ดูเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนที่พระองค์รัก เพื่อปรับปรุงบางอย่างในชีวิตของเขาให้เติบโต

 

ฟังดูย้อนแย้ง พระเจ้าจะช่วยหรือพระเจ้าจะให้เกิดขึ้น? เราไม่อาจแน่ใจได้ แต่ที่มั่นใจได้คือ ท่ามกลางความเลวร้ายเหล่านั้น พระองค์จะสถิตอยู่กับเราด้วย

………………………………

ทรงเป็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์และทรงเป็นผู้ชูศีรษะข้าพระองค์”

 

ขอพระเจ้าเป็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์

Glory เกียรติยศ ศักดิ์ศรี รากของคำนี้คือ สถานะ เป็น status ในชีวิต คำนี้ มีความหมายถึงสิ่งที่จะได้รับ สถานะนี้คือสิ่งที่ “สำคัญที่สุด”

 

เมื่อดาวิดเป็นพ่อ เขาก็มีเกียรติ คือ เป็นคนที่สำคัญที่สุดของครอบครัว เมื่อดาวิดเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เขามีเกียรติ เพราะเขาคือคนที่สำคัญที่สุด

 

แต่เมื่อเขาเดินมาถึงจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต เขาพบว่า สิ่งที่เคยเป็นเกียรติเหล่านี้สูญสลายหายไป ทำให้เกิดคำถามกับตัวตนของเขาเอง ว่าเขาคือใครเมื่อปราศจากสิ่งเหล่านี้

 

แต่เมื่อเขาได้อธิษฐานผ่านความกลัว เขากำลังเข้าใจแล้วว่าเขากำลังมองผิดที่ไป เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ตัวตนของเขาไม่ใช่เกียรติที่เขาได้รับ แต่คือการได้พบกับพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ตรงหน้าเขา เป็นพระเจ้าที่ห่วงใยเขา พระเจ้าที่สนใจคนที่ไม่มีอะไรอย่างเขา และนั่นทำให้เขากลายเป็นคนที่มีความหมาย ดาวิดขอให้พระเจ้าปกป้อง ตัวตน ที่แท้จริงของเขา ตัวตน ที่พระเจ้าสนใจเขา ดังนั้น ดาวิดจึงอธิษฐาน

 

ขอให้พระองค์เป็นเกียรติของข้าพระองค์

เพราะพระองค์สมควรได้รับเกียรตินั้น

เพราะพระองค์คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต

………………………………

ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระองค์ตรัสตอบข้าพระองค์จากภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์”

 

(4) คุณเคยเจอคำถามนี้เหล่านี้ เมื่อพลาดทำบาปหรือเปล่า?

พระเจ้าจะโกรธเรา จะโมโหเราไหม?
พระองค์จะยังฟังเราอยู่หรือเปล่า?

 

แม้ดาวิดจะทำบาป และความบาปพาเขาให้ตกต่ำลงเรื่อยๆ  แต่ดาวิดเองก็ยังมั่นใจว่าพระเจ้ายังคงฟังเขา  (ลองย้อนกลับไปดูว่าดาวิดทำอะไรลงไป) นี่ดาวิด เอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น?!

 

ความมั่นใจนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเขาคิดว่าตัวเขาสำคัญขนาดที่ว่าพระเจ้าจะต้องฟังเขาแน่ๆ แต่ที่ดาวิดมั่นใจ เพราะมั่นใจในพระสัญญา จาก ‘ภูเขา’ ?

 

พระองค์ตรัสตอบข้าพระองค์จาก ‘ภูเขา’ บริสุทธิ์ของพระองค์”

 

ภูเขาบริสุทธิ์ หมายถึงอะไร ที่นั่นคือที่ตั้งพระวิหาร ที่ๆ มีการถวายเครื่องสัตวบูชา ที่นั่นคือ พระสัญญา ผ่านการถวายบูชา การเสียสละ การไถ่ และ “ความรอด” ดาวิดกำลังมองไปที่พระสัญญานั้น

 

เมื่อเราทำผิดพลั้งพลาด เมื่อเราล้มลงในบาป สิ่งที่เราต้องทำคือ มองไปที่กางเขน ที่ๆพระเยซูได้ยอมตายเพื่อไถ่บาปของเรา ที่นั่นคือพระสัญญาแห่งความรอดที่พระองค์แบกเอาไว้ เรามองภาพนี้หลังจากที่พระเยซูตายบนไม้กางเขน

 

ส่วนดาวิดทำแบบเดียวกัน เพียงแต่เป็นอีกด้านของกางเขนที่ยังมาไม่ถึง แต่ทั้งเราและดาวิดก็กำลังมองไปที่เดียวกัน

 

ที่กางเขน

 

………………………………

ข้าพเจ้านอนลงและหลับไป
ข้าพเจ้าตื่นขึ้น เพราะพระยาห์เวห์ทรงอุปถัมภ์ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่กลัวคนเป็นหมื่นๆ
ซึ่งตั้งตนต่อสู้ข้าพเจ้าอยู่รอบด้าน

 

(5-6) เมื่อดาวิดวางใจในพระเจ้า แม้ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเลวร้ายลงไปอีก เขาอาจถูกล้อมและหนีไม่ทัน และ ความกลัวที่เลวร้ายสุดอาจเกิดขึ้นจริงๆ แต่นั้นไม่สำคัญกับการที่เขาระลึกได้ว่า พระเจ้า คือผู้ที่สำคัญสำหรับเขา พระองค์เป็นโล่ เป็นเกียรติของเขา เขาวางไว้ที่พระเจ้า

………………………………

ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงลุกขึ้น
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
ขอทรงตบหน้าศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์
และทรงเลาะฟันของคนอธรรม
การช่วยกู้เป็นของพระยาห์เวห์
ขอพระพรของพระองค์อยู่เหนือประชากรของพระองค์เทอญ

 

(7-8) ฟังดูโหดร้าย แต่นี่คำอธิษฐานของดาวิดต่อความรู้สึกของเขาอย่างตรงไปตรงมา เขาระบายความคับข้องใจที่กลายเป็นความโกรธ เป็นความไม่พอใจต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นและวางไว้ที่พระเจ้า

 

ดาวิดไม่ได้ปล่อยให้ความกลัวครอบงำเขาด้วยความโกรธแค้น แต่เขาฝากความรู้สึกคับข้องใจเหล่านั้นไว้ที่พระเจ้า ไม่ใช่เพื่อให้พระองค์ล้างแค้นแทน แต่เพราะเชื่อในการครอบครอง และ ความยุติธรรมของพระองค์เอง

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้เกิดใน 2 ซมอ. เราจะรู้ว่าดาวิดไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย และ ในสถานการณ์จริงเขาเองก็แทบจะร้องขอความเมตตาให้กับผู้ที่ทำไม่ดีต่อเขาด้วยซ้ำ แต่พระเจ้าเองที่เป็นผู้จัดการเรื่องราวต่อจากนั้นเอง

 

………………………………

 

ความกลัวเปรียบเหมือนควันไฟที่ทำให้เราทั้งแสบตา และบดบังเราไม่ให้มองเห็น แต่การอธิษฐานผ่านความรู้สึกนั้นเหมือนเป็นการสำรวจหาต้นตอของควันเหล่านั้น แล้วมอบมันไว้ให้กับผู้ช่วยกู้ของเรา

 

พระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เราเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ แต่สอนให้เราอธิษฐานผ่านความรู้สึกเหล่านั้นอย่างจริงใจ เพื่อที่เราจะไม่ต้องเก็บซ่อนไว้จนมันทำร้ายหัวใจของเรา หรือ ปล่อยให้มันครอบงำตัวตนของเราเอง

 

เราสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยความจริงใจ ด้วยความสัตย์ซื่อต่อความรู้สึกของเรา และ มอบมันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์

 

ดังนั้น จงอธิษฐานผ่าน…ความกลัว

.

.

.

ที่มา :

Praying Through Our Fears – PSALMS: The Language of Prayer – Tim Mackie

.

.

.


Previous Next

  • Author:
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก