คนต้นเรื่อง : อ่านล่องไปกับเรือทุกตอนได้ที่ : https://www.choojaiproject.org/category/articles/life-series/journey-with-logoshope/


______________________________

เคยมีคนบอกฉันว่า “เมื่อเรารักงานที่ทำ ก็เหมือนเราไม่ได้ทำงาน”
แต่ว่า … มันจะจริงเหรอ??

______________________________

‘Galley’ เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกห้องครัวในเรือ ข้าวของเครื่องใช้ทุกสิ่งที่อยู่ในห้องนี้คล้ายๆ กับ “ห้องครัวของวัด” อะค่ะ ตะหลิวอันใหญ่ หม้อต้มแกงจืดอันเขื่อง ถาดใส่ข้าวของอันเป้ง รวมถึงกระทะก้นลึกสำหรับผัดผักรวมขนาดใหญ่กว่าตัวเราอีก เครื่องใช้ใน ’Galley’ ก็เป็นแบบนั้นค่ะ เพราะที่ห้องครัวนี้จะต้องใช้เพื่อทำอาหารให้กับลูกเรือเกือบสี่ร้อยคน และอาจจะมากกว่าห้าร้อยคนเมื่อเรือเทียบท่า

 

_MG_0928
นอกเหนือจากการทำอาหารเลี้ยงคนหลายร้อยคนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของงานครัวคือ ความสะอาดค่ะ ในห้องครัวจะมีกฏให้แยกประเภทการใช้เขียง แยกวิธีการทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้ จะต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งทั้งก่อนและหลังทำงาน เวลาที่จะหั่นขนมปังก็ต้องใส่ถุงมือ คนที่ผมยาวก็ต้องเกล้าผมแน่นสูง ส่วนคนผมสั้นก็ต้องใส่หมวกคลุมผม และยังห้ามใส่แหวน นาฬิกาและตุ้มหูยาวด้วย นอกจากนั้นยังกำหนดให้ต้องอาบน้ำ สระผมทุกวัน เปลี่ยนชุดทำงานทุกวัน และอื่นๆอีกมากมาย

.
อาหารในเรือจะเป็นอาหารทางฝั่งอเมริกาและยุโรปเป็นส่วนใหญ่ เพราะเชฟที่ประจำเรือเป็นคนยุโรป และวัตถุดิบสำหรับทำอาหารก็ถูกส่งมาจากอเมริกาและเยอรมัน ดังนั้น ขนมปังจึงกลายเป็นอาหารหลักของเรือ มื้อเช้าเสริฟด้วยขนมปัง ซีเรียล นม และ โยเกิรต์ มื้อกลางวันก็มีขนมปัง แฮม ชีส และสลัดบาร์ ส่วนมื้อเย็นเป็นมื้อหนักแล้วแต่เชฟจัดสรร เช่น หมูชุปแป้งทอดกับสลัดมันฝรั่ง ฟิชแอนด์ชิฟ สปาเก็ตตี้หมูสับ เป็นต้น เชฟจะเป็นผู้คิดเมนูให้หลากหลาย ส่วนทีมครัวเป็นผู้ทำอาหาร

 

kitchen team
ในแผนก Catering เราทำงานเป็นทีมนหนึ่งทีมจะประกอบไปด้วย ‘หัวหน้าทีมครัว’ (Galley Shift leader) และลูกทีมอีก 3-4 คน และ ‘หัวหน้าทีมล้าง’ (Pantry Shift leader) และลูกทีมอีก 3-4 คน ซึ่งทั้งสองทีมจะเข้างานพร้อมกันและเลิกงานพร้อมกัน ตารางการทำงานแบ่งเป็น 2 กะ โดยทุกคนในเรือต้องทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ วันที่ 6 เป็นวันทำพันธกิจ และวันที่ 7 เป็นวันหยุดพัก

.
ในช่วง 3-4 เดือนแรกช่างสนุกสนาน ทุกสิ่งใหม่ไปหมด เป็นการเปิดโลกใหม่สำหรับฉันอย่างแท้จริง ฉันได้หัดทำซอสมากมาย ได้ทำอาหารยุโรปเยอะแยะ ทีมก็ช่างดีเหลือเกิน แม้แต่ละคนจะมาจากประเทศต่างๆ แต่เราก็ทำงานด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา เราช่วยกันทำงานอย่างขันแข็ง ได้เรียนรู้จักการทำงานร่วมกันไปในแต่ละวัน เราทั้งร้องเพลงและเต้นรำขณะทำงานด้วยความเบิกบานใจ

 

“มันช่างดีเหลือเกิน ชีวิตในเรือนี่แหละ! คือพันธกิจของฉัน
นี่เลย! งานที่ฉันรักและอยากจะเรียนรู้มานานแล้ว
ฉันรักกลิ่นไก่ทอด กระเทียม หัวหอมทอด เฟรนช์ฟราย
โอ้ ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส… ฉันรักงานที่ฉันทำ!”

.
“ฉันมีความสุขทุกวันที่ตื่นขึ้นมาทำงาน ไม่เหนื่อยเลยเพราะไม่ได้รู้สึกว่าทำงาน ฉันกำลังทำในสิ่งที่ฉันรัก!”

.

นั่นคือความคิดตลอดช่วง 3-4 เดือนแรกของฉัน

______________________________

.

แต่แล้วความเป็นจริงก็เดินเข้ามาหา เมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ 5 …

Galley
งานครัวเป็นงานแรงงาน แถมงานที่นี่ต้องใช้แรงตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น ผู้หญิงที่เคยนั่งทำงานออฟฟิศ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวันอย่างฉันกลับต้องมาทำงานใช้แรง แบกหม้อ ล้างหม้อ ยกถาด ล้างถาด เทขยะ ล้างพื้นครัว ขัดกระทะ ตัวเปียก เหงื่อท่วมตัว ต้องเดินอยู่ตลอดเวลา

.

เราจะได้พักช่วงกินข้าวเพียงแค่ 30 นาที จากนั้นก็ต้องลุกไปทำงานต่อ เราต้องเดิน ยืน เดิน ยืน และ เดิน และ ยืนตลอดทั้งวัน ฉันตื่นตีห้าครึ่งไปทำงานพร้อมกับอาการปวดมือ กำมือไม่ได้ ต้องแช่น้ำร้อนเพื่อคลายเส้น ปวดขา ปวดเข่า เข่าพลิก โดนมีดบาดครบทุกนิ้ว ฉันได้ยืนหั่นมันฝรั่งเกือบร้อยกิโล พอขูดแครอท ก็พลาดโดนที่ขูดก็บาดนิ้วบ้าง ไปทอดไก่ก็โดนน้ำมันลวกมือ ลวกท้องแขน หรือเผลอโดนกระทะร้อนๆ นาบบ้าง มีรอยช้ำตามขา หน้าแข้ง แขนทั่วตัว ฉันต้องทำงานตลอดทั้งวันหัวฟู หน้าไม่ได้แต่ง เหงื่อโทรมกาย ในแต่ละวันตอนที่ฉันอาบน้ำก็จะเจอแผลใหม่ๆ อยู่ทุกวัน

 

Gally team
เท่านั้นยังไม่พอ บ่อยครั้งที่ต้องเจอปัญหาคนในทีมทำงานช้า พูดมากแต่มือไม่ทำงาน หรือบ้างก็เลือกทำแต่งานง่ายๆ บางครั้งเราสื่อสารกันไม่เข้าใจ ต้องเสียเวลามาอธิบายซ้ำซาก บางครั้งก็เจอคนขี้เกียจ มากกว่านั้นคือต้องมาฟังลูกเรือบางคนบ่นเรื่องให้อาหารน้อย อาหารไม่อร่อย บางคนกินเหลือ กินทิ้งกินขว้าง กินแล้วไม่เก็บ ตักอาหารตกเรี่ยราด

 

“เฮ้ย… มันใช่เหรอ มันใช่งานที่ฉันต้องทำตลอดทั้งปีจริงๆ เหรอ?
มันใช่งานครัวที่ฉันอยากจะเรียนรู้จริงๆ ใช่ไหม?
ฉันรักงานที่ฉันทำจริงๆ เหรอ ทำไมมันเหนื่อยแบบนี้!?”

.
คำถามประดังประเดเข้ามาในหัว และคำถามที่ตอบยากที่สุดในช่วงนั้นคือ

.

“นี่มันคืองานของมิชชันนารีจริงๆ เหรอ!?!?!?!”

ฉันนั่งใคร่ครวญอธิษฐานพร้อมอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว นั่งพิจารณาย้อนกลับไปคิดถึงวันแรกที่ฉันเดินขึ้นเรือมาด้วยหัวใจเต้นระรัว พร้อมจะรับใช้พระเจ้าในทุกสถานการณ์ พร้อมจะเป็นเครื่องมือให้พระเจ้าใช้และพร้อมจะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไป


หายไปจนเกือบหมดสิ้น!

______________________________

จนกระทั่งมีข้อพระคัมภีร์ตอนหนึ่งผุดขึ้นมา

.

“ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์”

โคโลสี 3:23

.

ใช่! ทำทุกอย่างเพื่อพระเจ้า! หาใช่เพื่อตัวฉันหรือใครอื่นไม่!

ฉันมาคิดได้ว่าเรามาที่เรือลำนี้เพื่อรับใช้พระเจ้าและเรียนรู้ชีวิตการเป็นมิชชันนารี ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อให้พันธกิจของเรือดำเนินต่อไปได้ ถ้าเราไม่ทำอาหาร คนทำงานในร้านหนังสือก็ไม่สามารถทำงานได้ เขาก็จะไม่สามารถประกาศเรื่องของพระเจ้า ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่างานทุกอย่างในเรือสอดคล้องเกี่ยวเนื่องกันไปหมด ฉันเริ่มมองเห็นเป็นภาพใหญ่ขึ้น และเป็นภาพเดียวกับที่พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่มองลงมา พอคิดได้เช่นนั้น น้ำตาของฉันก็ไหลอย่างตื้นตัน หัวสมองโล่งปลอดโปร่ง จิตใจของฉันมีกำลังขึ้น พระวจนะของพระเจ้ามีกำลังช่วยเติมพลังให้ใจของฉันเข้มแข็งมากขึ้น

 

Gally team2

สำหรับฉัน เรื่องราวที่เล่ามาข้างต้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า เมื่อแรกรัก แรกพบพระเจ้าใหม่ๆ ทุกสิ่งดูสดใส สดชื่น น่าเรียนรู้และน่าติดตามไปหมด ไปโบสถ์ เข้าอนุชน เข้าค่าย ดูช่างน่าตื่นเต้น! แต่พอนานวันเข้า ผ่านไปถึงจุดที่เราคิดว่า เรารู้ทุกสิ่ง เราคุ้นเคยกับทุกอย่างในโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์จบไปหลายรอบแล้ว สภาพแวดล้อมในโบสถ์ก็เหมือนเดิม คนก็คนเดิมๆ บางทีรู้สึกซ้ำซาก นมัสการแบบเดิมๆ คำเทศนาเดิมๆ คนนี้ยังนิสัยเหมือนเดิม คนนั้นก็ยังไม่เปลี่ยน หรือแม้แต่ เมื่อเราเผชิญความยากลำบากและภาระที่หนักมากขึ้นในการติดตามพระเจ้า งานรับใช้ที่โบสถ์เยอะเกินไป น้องเลี้ยงเยอะเกินไป ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เบี่ยงเบนความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเรากับพระเจ้า จุดโฟกัสในชีวิตของเราเปลี่ยนไป เรากลับโฟกัสที่คน งาน หรือ สถานการณ์ มากกว่า พระเจ้า

.
ฉันเข้าใจเลยว่า ทำไมพระเจ้าอยากให้เรากลับมาที่ความรักดั้งเดิม เหมือนเมื่อครั้งแรกพบกับพระเจ้าในทุกเช้าวันใหม่ ฉันต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยให้ฉันโฟกัสที่พระเจ้ามากกว่างานที่ทำ เพื่อเมื่อฉันรักพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของงาน ฉันก็จะรักงานที่ทำด้วยเช่นกัน

 

Bakery
ฉันใช้เวลา 5 เดือนกว่าจะเข้าใจบทเรียนนี้ มันช่างราคาแพงเหลือเกิน แต่ในที่สุดเมื่อฉันเข้าใจ แม้การทำงานในครัวก็ยังเหมือนเดิม และฉันยังรู้สึกเหนื่อยเหมือนเดิม ร่างกายก็ยังล้าเหมือนเดิม บาดเจ็บเหมือนเดิม แต่จิตใจภายในของฉันกลับเปลี่ยนไป มันทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ทำงาน ความคิดของฉันเปลี่ยนไป ฉันไม่ได้ทำงานเหล่านี้เพื่อให้เชฟ หรือคนอื่นๆ ชื่นชม มแต่ฉันทำให้ดีที่สุดเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ท่าทีต่อเพื่อนร่วมทีมของฉันเองก็เปลี่ยนไปเพราะฉันเข้าใจแล้วว่าเพราะคนเราต่างกัน เราถึงต้องพูดคุยกันเพื่อปรับให้เข้ากันได้

.

คำพูดของ บราเธอร์ลอเรนซ์ ที่เขียนไว้ในหนังสือ ‘ต่อพระพักตร์’ ยังดังก้องอยู่ในหัวของฉัน

.

“เสียงกระทะ เสียงล้างจาน เสียงขัดหม้อ เป็นเสียงที่เขาสรรเสริญพระเจ้าเมื่อเขาทำงาน”

.

ช่างน่าประทับใจ.. ฉันพูดกับตัวเองว่า

“เช่นนั้นแล้ว ห้องครัวก็เป็นเหมือนสถานนมัสการที่ฉันสามารถนมัสการพระเจ้าได้ทุกเวลา และฉันก็ปรับทัศนคติของฉันแบบนั้นตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในห้องครัว”

.

Bakery 2

งานที่ฉันชอบมากที่สุดในครัว คือ งานล้างหม้อ ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าสอนฉันผ่านการล้างหม้อ มันเป็นห้วงเวลาที่ฉันได้ใคร่ครวญและอธิษฐานกับพระเจ้าระหว่างที่ทำงานไปด้วย

.
หม้อสกปรกใบเขื่องเต็มไปด้วยคราบอาหาร ก็เหมือนชีวิตของเราที่บางครั้งเราเองก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้า บ่อยครั้งเข้าชีวิตของเราก็กลายเหมือนหม้อที่สกปรกมาก มีคราบเกรอะกรัง ที่ไม่สามารถล้างออกเฉยๆ ได้ พระเจ้าจึงต้องเอาหม้อใบนั้นแช่ในน้ำร้อน ใส่น้ำยาล้างจานเข้าไป แล้วก็ขัดชีวิตของเราผ่านประสบการณ์ที่ทนทุกข์ ผ่านคำตักเตือนที่ดูหนักหนา เพื่อที่พระเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตของเราต่อไป

.
ทุกครั้งที่ฉันล้างหม้อ ฉันก็จะอธิษฐานขอให้พระเจ้าโปรดล้างชีวิตของฉันใหม่ทุกวัน เพื่อที่ฉันจะได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่สะอาด ใหม่ พร้อมให้พระเจ้าใช้ได้ตลอดทุกวันด้วย และฉันก็พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ในเรือลำนี้แล้ว ถึงแม้จะใช้เวลากว่า 5 เดือนในการเรียนรู้ก็เถอะ!

.

เติบโตไปด้วยกันนะ #งานที่รัก
ทีน่า


Previous Next

  • Author:
  • ทีน่า : สาวผู้ใฝ่ฝันจะเดินทางรอบโลก แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อพระเจ้านำเธอให้พบเจอกับเรือ 'โลโกสโฮป' เรือแห่งความหวังที่จะนำพาเธอไปผจญโลกกว้างโดยไม่ต้องเป็นเมียทูตแต่อย่างใด
  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Namita
  • สาวน้อยล่ามญี่ปุ่น ผู้เอ็นจอยกับการกินไปลดน้ำหนักไป เธอผู้มีความคาวาอี้อยู่ตลอดเวลายังมีความสามารถในการเรียบเรียงงานเขียนได้เป็นเลิศอีกด้วย