ชูใจอัพเดท กุมภา-มีนา 2018


สวัสดีค่ะผู้ถวายทุกคน

 

ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเยอะพอตัวค่ะ ทั้งของชูใจเองและเรื่องส่วนตัวในครอบครัว

เรื่องส่วนตัวที่เคยเกริ่นไปเมื่ออัพเดทคราวที่แล้วก็คือเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดกับคุณพ่อของท๊อป (สามีจิ๊ก) และเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ท่านก็จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้วค่ะ

 

สำหรับเราที่เป็นผู้เชื่อ ถึงแม้ความเสียใจจะอ้อยอิ่งอยู่บ้างแต่เพราะเรารู้ว่าอีกไม่นานเราก็จะเจอกันอีกบนแผ่นดินสวรรค์ นั่นทำให้ความเสียใจที่เรามีไม่ถึงกับเจ็บปวด แต่เป็นเพียงความเสียใจที่ทำให้ไม่ได้เจอกันไปอีกนาน

 

มีน้องคนนึงบอกกับเราว่าพวกพี่อะ ยังดีนะที่พ่อแม่เป็นคริสเตียนแล้ว หนูนี่สิ พ่อแม่ยังไม่เชื่อว่าแล้วนางก็ขอให้ช่วยอธิษฐานเผื่อเรื่องการนำพ่อแม่มาเชื่อหน่อย

 

ถึงฟังดูงงๆ ว่าปลอบใจอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งที่น้องคนนั้นพูดก็เป็นความจริงเลยค่ะว่า การจากไปของคนที่เชื่อแล้วนั้น ให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมือนขับรถที่มีประกันชั้นหนึ่ง แต่คนที่ยังไม่เชื่อก็เหมือนคนที่ขับรถไม่มีประกัน ไม่มีอะไรมาการันตีได้เลยว่าชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ แต่อย่าให้เราเห็นความสำคัญของการประกาศหลังจากที่ต้องเสียใครไปเลยนะคะ

 

…..

 

จิตใจของคนที่มีสติปัญญา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีความโศกเศร้า
แต่จิตใจของคนเขลา ย่อมอยู่ในเรือนที่มีการสนุกสนานปัญญาจารย์ 7:4

 

สิ่งหนึ่งที่จิ๊กได้เรียนรู้ว่าความตายให้กับเราได้ก็คือ ให้สติปัญญา การได้รู้ว่าชีวิตเราจะมีจุดจบได้ทุกเมื่อ จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีสติ ไม่ไหลไปตามที่คนส่วนใหญ่เขาว่ากัน และพิจารณาใคร่ครวญสิ่งที่จริง สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่านับถือมากขึ้น เมื่อ 10 ปีก่อน จิ๊กได้แปลคลิปสุนทรพจน์ของสตีฟ จ๊อบส์ไว้ ซึ่งทุกวันนี้จิ๊กยังกลับไปอ่านเพื่อย้ำเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ

 

ตอนอายุ 17 ผมเคยอ่านคำคมอันหนึ่งที่ว่าถ้าคุณใช้ชีวิตเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย มันอาจจะเป็นจริงเข้าสักวันผมประทับใจมากและตลอด 33 ปี ผมจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าผมอยู่วันนี้เป็นวันสุดท้าย ผมจะยังอยากทำในสิ่งที่ผมกำลังจะไปทำวันนี้รึเปล่า? แล้วถ้าคำตอบคือไม่ติดต่อกันหลายวัน ผมก็รู้แล้วว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรสักอย่าง วิธีคิดว่าคนเราอาจตายวันตายพรุ่งก็ได้ เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่ผมเคยรู้จัก สิ่งนี้ทำให้ผมช่วยตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอาย หรือความล้มเหลว จะหมดความหมายไปโดยปริยายเมื่อความตายมาถึง เหลือไว้ก็เพียงสิ่งสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น การเตือนตัวเองว่าเราไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยไม่ให้เราติดกับความกลัวที่จะสูญเสีย เพราะเมื่อตายไปแล้วเราก็เหลือแค่ร่างกายที่เปลือยเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตามสิ่งที่หัวใจต้องการ…”

 

พูดง่ายๆ คือ ความตาย หรือ จุดสิ้นสุดในชีวิตจะทำให้เราได้คิดจัดลำดับความสำคัญของเราใหม่ ว่าสิ่งที่เราให้เวลาอยู่ทุกวันนี้ มันสำคัญจริงๆ แล้วหรือยัง? มันสำคัญขนาดที่เมื่อเราสิ้นสุดเวลาในโลกไปจะทำให้เราไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจไปกับมันหรือไม่? ดังนั้นการ Keep the end in mind ก็คงคล้ายๆ กับการที่ดาวิดอธิษฐานขอพระเจ้าไว้ในสดุดีว่า

 

ขอพระองค์ทรงสอนให้นับวันของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะมีจิตใจที่มีปัญญาสดุดี 90:12

 

ขอให้เราได้ใช้วันเวลาที่มีเหลือกันอย่างคนมีปัญญากันนะคะ

 


เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่าค่ะ พูดถึงเป้าหมายของชูใจในปีนี้ (นี่เดือนที่ 3 เข้าไปแล้วนะ!) ปีนี้เราโฟกัสที่จะทำส่วนที่เป็น Offline ให้มากขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะการเปลี่ยนอัลกอริทึ่มของเฟสบุ๊ค ทำให้ช่วงปีที่ผ่านมาบทความที่ถูกแชร์ผ่านเฟสบุ๊คของชูใจสถิติลดลงอย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้วเราจึงต้องมีงบในการ Boost Post ไปบ้าง (ตลอดทั้งปีจ่ายไป 4,xxx กว่าบาทค่ะ ซึ่งก็ถือว่าไม่เยอะค่ะ) เพื่อให้แฟนเพจของเราได้เห็นบทความของเราอยู่ แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่เฟสบุ๊คลดการมองเห็นขึ้นไปอีก ก็ยิ่งทำให้เราอยู่ลำบากหากไม่มีเงินจ่ายพี่มาร์ค

 

 

ค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไร Tool เปลี่ยนแต่ Vision ไม่เปลี่ยน เราจึงเห็นควรแล้วว่า ช่วงที่ผ่านมาเราก็ได้เน้นการผลิตเนื้อหาทางออนไลน์ซะมากแล้ว ดังนั้นเราควรจะโฟกัสมากขึ้นกับการพบปะเจอผู้คนตัวเป็นๆ, ทำเนื้อหาออกมาเป็น Product ที่จับต้องได้, และที่สำคัญคือ โฟกัสกับการทำ Workshop ให้มากขึ้นซักที

 

 

นี่คือ Theme ของปีนี้ของเราค่ะ จากที่มันเป็นแค่ความตั้งใจมานานตั้งแต่เริ่มทำชูใจก็คือ อยากให้น้องๆคริสเตียนวัยรุ่นใช้ชีวิตอย่างมีทิศทางทั้งในโลกและกับพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่เราทำคือ ช่วยให้เขารู้ว่าในแต่ละด้านของชีวิตเขาจะค้นพบ Mission ของตัวเองได้ยังไง เมื่อเขาค้นพบในการใช้ชีวิตของตัวเองมันจึงจะทำให้เค้าไม่ปล่อยตัวไปวันๆ หรือไหลไปตามกระแสของโลก

Strategy ในปีนี้ก็พัฒนามาจากการทำงานในปีที่ผ่านมา เราเห็นว่า target เรายังกว้างมากอยู่ ซึ่งทำให้การสื่อสารในบางเรื่องลำบาก เราเลยคิดว่าจะลองทำวิธีใหม่ ด้วยการวางคอลัมน์ตามช่วงวัยแทนที่จะหว่านไปรวมๆ ตามคอลัมน์อย่างที่ผ่านมา อย่างเช่น Love Coach ก็แทนที่จะพูดหว่านไปรวมๆ ก็จะเจาะว่าในแต่ละหัวข้อน่าจะเกี่ยวข้องกับช่วงวัยไหนบ้าง เพื่อให้ตรงประเด็นไปมากกว่าเดิม หรืออย่าง Money Series ที่ปีที่แล้วทำแล้วแป๊กไปหน่อย ก็จะปรับให้เจาะช่วงกลุ่มวัยที่พึ่งจบและเริ่มต้นทำงานค่ะ เพราะถ้าหว่านไปทั่วๆ คิดว่าเด็กวัยต่ำกว่านั้นจะยังไม่เห็นความสำคัญของเรื่องการจัดการเงิน เป็นต้นค่ะ 

 

และนี่เป็นหัวข้อ Workshop ที่เราตั้งใจอยากให้เกิดขึ้นในปีนี้ อาจจะเลยจนถึงปีหน้าด้วย ซึ่งความเป็นไปได้ของการจัดกิจกรรมต่างๆ นี้ก็จะอยู่ในเชียงใหม่เสียเป็นส่วนใหญ่ค่ะ บางหัวข้อเช่น Graphic day camp ก็น่าจะทำที่กรุงเทพฯ ด้วยได้ ขอพระเจ้าเมตตาที่จะได้ลงมือทำให้เกิดขึ้นได้จริงและมีคนมาช่วยทำส่วนนี้ด้วยค่ะ

 

 

อัพเดทงานช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาและการเงิน

  • ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เราได้จัด Team meeting ของอาสาในเชียงใหม่ไปเมื่อเดือนกุมภาค่ะ ก็เป็นการนัดพบภาพรวมปีละครั้งที่ทำต่อเนื่องกันมา 3 ปีแล้ว ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคนเหล่านี้ที่มารับใช้พระเจ้ากันอย่างแข็งขัน และขอบคุณผู้ถวายทั้งสถานที่และมื้ออร่อยให้พวกเราค่ะ

 

  • นอกจากนั้นเราได้ไปออกบู้ทเป็นครั้งแรกที่งานสัมมนาวิชาการที่พระคริสตธรรมแมคกิลวารีค่ะ  แล้วก็เมื่อเสาร์ที่ผ่านมามีนศ.ปี 3 ของแมคกิลวารีมาขอสัมภาษณ์การทำพันธกิจค่ะ (มีคนผลักดันเราอย่างมากอยากให้ออกสื่อ ออกจัดกิจกรรมบ่อยๆ ค่ะ 555)

 

 

  • ส่วนหนังสือ Love Letter by Jeje ที่เปิดตัวไปช่วงวาเลนไทน์ ตอนนี้เราขายไปได้ 130 เล่มแล้วค่ะ (ปรบมืออออ) นอกจากนั้นทางคอมแพสชั่นก็แสดงความสนใจที่อยากจะใช้เนื้อหาของหนังสือส่วนหนึ่งไปประกอบกับบทเรียนที่อยากจะทำให้เด็ก/เจ้าหน้าที่โครงการด้วยค่ะ ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเตรียมงานค่ะ เพราะยังง่วนอยู่กับการขายหนังสือและงานแต่ละวันอยู่เลยค่ะ

 

 

 

  • เดือนหน้า (เม..) เราจะมีบทความซีรีส์ของเด็กสมัยนี้ชุดใหม่ลง เป็นไดอารี่ของน้องที่เป็นโรคซึมเศร้าค่ะ อยากให้ติดตามกันนะคะ เพราะคนสมัยนี้เป็นโรคนี้กันมาก อยากให้น้องๆ ที่ได้อ่านเห็นว่าพระเจ้าช่วยเปลี่ยนชีวิตเขาได้อย่างไรค่ะ

 

  • ต้นเดือน เม.. เช่นกันที่จิ๊กจะได้ออกจากหัวเมืองล้านนาไปยังพระนคร จุดประสงค์ก็เพื่อไปพบปะอาสาฯ ที่กทม.ค่ะ (บางคนทำงานในทีมมาตั้งนานยังไม่เคยเจอหน้ากันเลย!) และไปเจอกับอ.จากพระคริสต์ธรรมสวนพลู และกนกบรรณาสารค่ะ แอบบอกหน่อยค่ะว่าจิ๊กไม่ชอบเดินทาง แต่เมื่อปีนี้ตั้งใจจะเดินหน้างานก็ต้องฝืนความเป็นตัวเองหน่อยค่ะ ฝากอธิษฐานหน่อยนะคะ

ส่วนเรื่องเงิน ปีที่ผ่านมาเราก็ผ่านไปได้ด้วยพระคุณพระเจ้าค่ะ (ติดลบ 6x,xxx) T_T อย่างที่ทราบกันก็คือว่า ชูใจอยู่ได้ด้วยเงินถวายเป็นหลัก มีรายได้จากการขายของบ้างเพื่อให้มีเงินก้อนไปใช้ในกิจกรรมที่ต้องใช้เงินก้อนค่ะ (ตอนนี้เราอยากได้คอมพิวเตอร์ใหม่ค่ะ) ดังนั้นการถวายของพี่น้องจึงมีค่าต่อการอยู่รับใช้ของเรามากจริงๆ ค่ะ นี่เป็นกราฟแสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมดของปีที่ผ่านมาค่ะ

 

 

ส่วนพี่น้องที่ต้องการดูรายละเอียดรายรับ & รายจ่ายโดยละเอียด กดดูได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ

 

จะเห็นได้ว่าปีที่แล้วเราอ่อนมากเรื่องการถวายสิบลด ก็ได้รับการหนุนใจจากพี่เชษฐ์มาว่า ถึงจะเป็นพันธกิจก็ต้องถวายสิบลดด้วย ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเราเลยทยอยถวายสิบลดไปให้ตามองค์กรต่างๆ ค่ะ เช่น บ้านต้นส้ม (องค์กรให้คำปรึกษาเด็กวัยรุ่นที่จ.ชลบุรี), YFC เชียงใหม่, ค่ายเด็ก, และสนับสนุนการไปเป็นมิชชันนารีของคนไทยค่ะ เราก็จะทยอยถวายสิบลดส่วนของปีที่แล้วกับปีนี้ให้ครบค่ะ

 

 

จบอัพเดทของครั้งนี้ค่ะ จิ๊กกับน้องๆ ยังคงอธิษฐานเผื่อผู้ถวายทุกคนทุกวันจันทร์นะคะ รู้สึกผูกพันกับทุกคนเวลาที่ได้อัพเดทหัวข้ออธิษฐานเผื่อใหม่ๆ ทำให้รู้ถึงเรื่องที่พระเจ้าตอบในชีวิตของแต่ละคนไปด้วย ยังไงก็อยากให้ระลึกถึงกันในคำอธิษฐานนะคะ สิ่งที่อยากฝากในคำอธิษฐานของพี่น้องตอนนี้ก็คือเราต้องการคนมาช่วยทำงาน Admin และประสานงานเพิ่มค่ะ (ต้องยอมรับจริงๆ ว่าที่งานเดินช้าเพราะจิ๊กเองก็ติดกับดักทำงานเหล่านี้อยู่) และอธิษฐานเผื่อเรื่องคอนเท้นต์กับ workshop ที่จะต้องเร่งเดินหน้าได้แล้วค่ะ (สิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวก็ทำให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ลำบากในช่วงที่ผ่านมาค่ะ) จิ๊กเองก็รู้สึก burn out อยู่บ่อยๆ และข้อเสียในการทำงานออนไลน์ก็คือเราสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ก็เลยทำให้แบ่งเวลาระหว่างงานกับการพักผ่อนไม่ค่อยได้ค่ะ ฝากจิ๊กไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ

 

ขอให้พี่น้องทุกคนสู้และใช้ชีวิตอย่างมีสติปัญญาทุกวันนะคะ!


Previous Next

  • Author:
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง