1

[พระคัมภีร์ไม่ไหลย้อนกลับ]The12 ep.1 โฮเชยา


 

“เมียผมหนีตามคนอื่นไปแล้วครับ”

“ทิ้งผมไว้กับลูก” 

“ผมควรจะทำยังไงดี”

 

ผมนั่งฟังเรื่องราวแบบนี้ซ้ำๆในรายการตอบปัญหาชีวิตคู่ ซึ่งมักจะจบด้วยคำตอบของผู้จัดรายการว่า

 

“บางทีความรักมันก็มาถึงจุดที่มันหมด”

“การแยกทางก็ดีกว่า จะทนไปทำไม”

 

 

ด้วยความรู้สึก และฟังเรื่องแบบนี้ซ้ำๆใจนึงผมก็เออออเห็นด้วยกับความรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดกับเรื่องราวความรักเหล่านั้น แต่ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีในหนังสือผู้เผยพระวจนะ

 

เรื่องของโฮเชยาโผล่มาก็ดราม่า จะเรียกว่าเป็นเรื่องราวบันทึกรักโรแมนติก หรือ ชอกช้ำระกำใจกันดี จะจบยังไง จะบอกอะไร ก็ต้องไปตามอ่านกันดู

 

 

โฮเชยา

เป็นหนังสือเล่มแรกใน ผู้เผยพระวจนะน้อย ที่กำลังเปิดเผยความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับอิสราเอล เป็นหนังสือที่ประกาศด้วยชีวิตของโฮเชยา เป็นการเผยพระจวนะด้วยชีวิต

 

เริ่มต้นเรื่องตรงที่ว่าพระเจ้าบอกให้ โฮเชยา ไปรับหญิงเจ้าชู้มาเป็นภรรยา และมีลูกกับนาง หญิงเจ้าชู้คนนี้ชื่อ โกเมอร์ ซึ่งอาจเป็นได้ว่าเธอมีใจที่ไม่ซื่อสัตย์อยู่แล้ว ต่อมาจึงมีลูกด้วยกันชื่อว่า ยิสราเอล ต่อมาก็มีลูกอีกสองคนชื่อ โลลุหะมา กับ โลอัมมี แต่ที่น่าสนใจคือ พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้บอกว่า ลูกสองคนหลังนี่เป็นลูกของ โฮเชยา!!! จึงสร้างความไม่แน่ใจว่า เป็นลูกเขาจริงหรือเปล่า หรือ ลูกของใคร? ถ้าเป็นสมัยนี้ โฮเชยา อาจอยากขอตรวจดีเอ็นเอ ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

 

ขณะที่ความสับสนเรื่องลูกยังไม่จบ นางโกเมอร์ก็ชิงจังหว่ะชิ่งทิ้งสามีและลูกๆ หอบเอาสมบัติทรัพย์สินหนีไปเปย์แฟนใหม่ ให้ชอกช้ำระกำใจอีก

 

เรื่องนี้ยังสะท้อนมายังชื่อของลูกๆทั้งสองคนหลัง โลลุหะมา  โล แปลว่า ไม่ ระ-ขัหม แปลว่า เมตตา สองคำรวมกันแปลว่าไม่ได้รับความเมตตา” ส่วนคนหลัง อัมมี แปลว่า ประชากร ของฉัน แปลได้ว่า “ไม่ใช่ประชากรของฉัน” หรือ อาจเป็นคำตัดพ้ออันคับอกคับใจ นี่ไม่แฟร์เลย นี่ไม่ใช่ลูกของฉัน

 

ชื่อลูกสองคนนี้กำลังสะท้อนของความเจ็บปวดของโฮเชยา และ ในขณะเดียวกัน ก็ยังสะท้อนถึงความเจ็บปวดของพระเจ้าอีกด้วย!

 

หัวใจสลาย เมื่อเธอเดินไปกับเขา” – เพลง จิ๊กโก๋ ปากซอย

 

เคยอกหักกันไหมครับ เจ็บจนฟุ้งซ่าน นั่งเฉยๆก็ถอนหายใจ ทั้งๆที่ร่างกายไม่ได้เป็นอะไร ชื่อลูกของ โฮเชยา ในตอนนี้กำลังสะท้อนความเจ็บปวดของพระเจ้า เป็นภาวะหัวใจสลายของพระเจ้า

…………………………

มาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านอาจสงสัย ว่าอ่าว แล้วเรื่องแบบนี้ไปเกี่ยวกับการเผยพระวจนะได้ยังไง เราก็จะมาเดินตามดูไปด้วยกัน

…………………………

มี ผู้เผยพระวจนะ ที่เผยพระวจนะด้วยชีวิต อย่างเยเรมีย์ไม่ได้แต่งงาน หมายถึง จะมีเรื่องร้ายที่กำลังจะมาถึง เอเสเคียล นอนตะแคงขวาอยู่เป็นปี ปั้นดินพังเมือง ฯลฯ ก็เป็นชีวิตของเขานั่นแหละ ที่ถูกใช้เป็นสื่อในการเผยพระวจนะของพระเจ้า

 

ส่วนโฮเชยา ก็ใช้ชีวิตเพื่อเป็นข้อความที่พระเจ้าต้องการจะสื่อว่าอิสราเอลมีชีวิตไม่ต่างจากโกเมอร์เลย

 

อย่างที่เคยบอกไว้ในตอนแรกว่า การจะอ่านหนังสือผู้เผยพระวจนะต้องเข้าใจบริบท ต้องลองกลับไปอ่านข้อแรกอย่างตั้งใจ ในพระธรรมโฮเชยานี้ เริ่มต้นไว้ว่า พระวจนะมาถึงโฮเชยาในสมัย เยโรโบอัม กษัตริย์แห่งอิสราเอล อาณาจักรเหนือ ซึ่งมีเมืองหลวงคือ กรุงสะมาเรีย  ย้อนกลับไปอีกนิด คือช่วงหลังสมัยดาวิด เกิดสงครามกลางเมือง จนประเทศถูกแบ่งเป็นอาณาจักรเหนือและใต้ ทางเหนือเรียกว่า อิสราเอล บางทีก็เรียก เผ่าเอฟราอิม มีเมืองหลวงชื่อ กรุงสะมาเรีย ทางใต้คือ เผ่ายูดาห์ มีเมืองหลวงชื่อ เยรูซาเล็ม

 

ดังนั้นถ้าอ่านพระคัมภีร์แล้วเจอ เอฟราอิม หรือ ยูดาห์ ก็หมายถึงอาณาจักร เหนือ ใต้ นั่นเอง

 

โฮเชยา ไปเผยพระวจนะยังอาณาจักรเหนือ ในยุค เยโรโบอัมที่สอง ที่สองด้วยนะ ส่วน เยโรโบอัมที่หนึ่งคือ กษัตริย์อิสราเอลคนแรก ที่ทำสงครามกลางเมืองเพื่อพาเอาสิบเผ่ามาตั้งอาณาจักรเหนือ เมื่อแยกออกมาแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือสร้างศาสนาของตัวเอง สร้างแท่น วัวทองคำ ที่ เบธเอล เผยความในใจแต่แรกเลยทีเดียว แถมที่ อาณาจักรเหนือ ยังมี ประวัติศาสตร์อยู่อีกหน่อย คือตอนที่อิสราเอล ติดตามพระเจ้า วันหนึ่งเขาก็ร้องขอ กษัตริย์ ซึ่งสุดท้ายพระเจ้าก็ประทานให้ที่ กิลกาล ดังนันถ้าอ่านเจอ เบธเอล หรือ กิลกาล ในตอนนี้ก็กลายเป็นคำเปรียบเปรย หมายถึง การเล่นชู้ของอิสราเอล

 

กลับมาที่สมัย เยโรโบอัมที่สอง อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจรอบๆกำลังแผ่วลง อิสราเอลจึงมีโอกาสตียึดคืนดินแดน พอตีได้ ทหารก็มีขวัญกำลังใจเข้มแข็ง การค้าก็เลยเติบโต เพราะแผ่นดินสงบ เศรษฐกิจดีก็ทำให้ร่ำรวย พอรวยแล้วก็อยากรวยอีก พออยากได้มากขึ้น เขาก็เริ่มปล่อยเงินกู้ให้คนจน ถ้าเราจำกันได้ มี พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่าทำอย่างนี้(ปล่อยกู้) เพราะเราเป็นพี่น้องกัน เคยเป็นทาสด้วยกัน ถูกกดขี่ร่วมกัน พระเจ้านำออกมากจากการเป็นทาศร่วมกัน และถ้าเขาไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ ก็อย่าไปยึดเสื้อคลุมเขา ถ้าเขาไม่เหลืออะไรแล้วก็ให้เขามีอะไรให้คลุมร่างกายให้ความอบอุ่นบ้าง แต่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เขาทำทุกอย่างที่ห้ามไว้หมด

………………………….

รากของมันคือความปราถนาความมั่งคั่ง

………………………….

พอเขาได้มากขึ้นก็หันไปกราบไหว้พระอื่น เขาไม่ได้ลืมพระเจ้านะ แต่เอาหมดทุกพระ ซึ่งพระแถวนั้นก็คือ พระบาอัล พระแห่งความอุดมสมบูรณ์ ชื่อ บาอัล ที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆ แปลได้อีกด้วยว่าสามี” ซึ่งการประกอบพิธีบูชา คือ การต้องไปร่วมหลับนอนกับหญิงประจำวัดของพระบาอัล ถ้าเจอคำว่าไป “ถวาย” ในพระคัมภีร์ ก็หมายถึงพิธีกรรมนี้นั่นแหละ

 

เมื่อเขาติดใจกับพิธีกรรมเหล่านี้ พระธรรมโฮเชยา เลยพามาถึงการเผยพระวจนะ ว่า อิสราเอลไม่ต่างจากโกเมอร์ ที่ลืมว่าใครเป็น สามี ที่แท้จริง

 

ก็ต้องย้อนกลับไปอีกนิด เพื่อจะได้เข้าใจที่มาที่ไป

 

เมื่อตอนที่พระเจ้านำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ พระองค์ไถ่เขาออกมาจากการเป็นทาส พาเขามายังถิ่นทุรกันดาร อิสราเอลลำบาก พระเจ้าก็คอยดูแล พระเจ้าสำแดงความรักเพื่อให้เขารู้ว่าพระเจ้ารักเขา ความรักนี้นำมาสู่ การทำพันธสัญญา ที่ภูเขาซีนาย ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นคล้ายกับงานแต่งงาน “เจ้าจะเป็นประชากรของเรา” “เราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า” ประกาศกันต่อหน้าด้วยคำปฏิญาณ และ อิสราเอลก็ตอบรับร่วมกัน ที่นั่นที่ภูเขาซีนาย มากันขนาดนี้แล้ว เราน่าจะตอบได้ง่ายๆว่า ใครคือ สามี ของ อิสราเอล

 

ความรักที่พาออกมาจากการเป็นทาส คอยดูแลในเวลาที่ลำบาก ความรักที่นำไปสู่พันธสัญญา และ พาไปยังบ้านใหม่ตามคำสัญญา แต่พอได้เข้าคานาอัน พวกเขาก็กลับไปนมัสการพระบาอัล ซึ่งขอย้ำอีกครั้งว่า “บาอัล” แปลว่าสามี” ที่ผ่านมาพระเจ้าดูแลเข้าด้วยความรักแต่พอถึงเรือนหอ อิสราเอล กลับเอาของที่ได้มาไปให้สามี” คนใหม่

 

ทำไมอิสราเอล ถึง เปลี่ยนไป ทำไมเขาถึงทิ้งพระเจ้าแบบนี้ได้

 

ในพระธรรมโฮเชยา จะเน้นย้ำมาก คือ คำว่าความรู้ถึงพระเจ้า” ความรู้นี้ไม่ได้หมายถึงข้อมูล หรือ แค่คนรู้จักกัน แต่คำนี้มาจากคำว่ายาดา” มันไม่ใช่ความรู้เชิงข้อมูล แต่เป็นความรู้เชิง ประสบการณ์ อย่างคำว่า “รู้จัก” นี้ปรากฏใน ปฐมกาล ฝ่าย อดัมรู้จัก” ภรรยาของเขา แล้วทั้งสองก็มีลูกด้วยกัน คำว่า รู้จักตรงนี้ จึงหมายถึงยาดา” เป็นความรู้จักที่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน

 

ตรงนี้ที่อิสราเอล ทิ้งพระเจ้าไปได้ ก็เพราะเขาไม่ “ยาดา” พระเจ้า นั่นเอง เขาอาจรู้จัก พระเจ้า ในเชิงข้อมูล แต่ พอเจอคนอื่นที่ดูดีกว่าเขาก็ไป เพราะ เขาไม่รู้จักสามีของเขาอย่างลึกซึ้ง

 

“แต่นางหาทราบว่า เราเป็นผู้ให้……..”

 

ของที่เธอเอาไปให้กับพระบาอัล ก็คือของของ พระเจ้า อีกต่างหาก เหมือนกับคนรักที่มอบแหวนแต่งงานให้ แต่ โกเมอร์ ก็ถอดแหวนวงนั้นออก แล้วเอาไปให้ผู้ชายคนใหม่

 

นี่เป็นภาพสะท้อนความรู้สึกของพระเจ้าที่สะท้อนผ่านความรู้สึกของโฮเชยา

 

ถ้าพูดกันด้วยความอารมณ์ความรู้สึกเหมือนรายการพี่อ้อยพี่ฉอด หรือ น้าเน็ก เรื่องมันก็น่าจะจบอย่างนี้ จบลงตรงที่แยกทางกันไปเลยน่าดีกว่า

 

ถึงอย่างนั้น ถ้าลองตั้งสติแล้วมาพิจารณาด้วยหลักเหตุผล ตามแนวปฏิบัติใน พระคัมภีร์เดิม เมื่อ ภรรยาจากไปหาคนอื่นแบบนี้ เขาจะไม่สามารถกลับมาหาสามีอีกได้ นี่เป็นบัญญัติ ซึ่งเป็นเงื่อนไขใน พันธสัญญา อีกด้วย ดังนั้น ถึงจะใช้หลักเหตุผล สุดท้ายก็ ต้องแยกกันไปอยู่ดี

 

เรื่องระหว่าง โฮเชยา และ โกเมอร์  ควรจบกันตรงนี้ด้วยเช่นกัน

 

โกเมอร์หนีตามแฟนใหม่ โฮเชยาที่ถูกทิ้งเลี้ยงลูกที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกตัวเองด้วยซ้ำต่อไป
จบแบบ sad ending

………………………………………..

แ ต่ นี่ ไ ม่ ใ ช่ ต อ น จ บ

………………………………………..

 

ไม่ว่าจะตัดสินด้วยอารมณ์ หรือ เหตุผล ตามธรรมเนียมสมัยนั้น ไม่มีเขาก็ไม่ทำกัน ในบทที่สาม พระเจ้าตรัสกับโฮเชยาว่า

จงไปอีกครั้งให้ไปสมานรักกับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรักของชู้ และ เป็นหญิงล่วงประเวณี เหมือนพระเจ้าทรงรักพงษ์พันธ์อิสราเอลอย่างนั้นแหละ”

 

พระเจ้าให้ไปตาม โกเมอร์ กลับมา ถ้าสังเกตนะ พระเจ้าไม่ได้ให้ไปตามภรรยาเก่า” ของเจ้านะ แต่ให้ไปตามหญิงคนหนึ่ง” คือตอนนี้ ไม่ใช่อดีตภรรยาแล้ว ตามธรรมเนียม คือหย่าขาดกันแล้ว จบกันไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น พระเจ้าก็ให้ไปรับเธอกลับมา

 

ตอนที่โฮเชยา จะไปตามกลับมา เขาไปเจอ โกเมอร์ ในตลาด เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้เธอจะตาม “ผ” ใหม่ไป แต่เธอก็โดนเทจาก “ผ” คนใหม่ที่เธอตามไปอยู่ดี และ ตอนนี้เธอ อาจติดหนี้ หรือ อะไรสักอย่าง แต่เวลานี้เธอถูกขายเป็นทาสในตลาด

 

โฮเชยา เลยต้องซื้อ แล้วบอกกับเธอว่าอย่าเล่นชู้อีก”

 

ถ้ามองแง่นี้ โฮเชยา ทำถูกไหมในเชิงเหตุผลก็บอกเลยว่า “ไม่” เพราะเขาไม่ทำกัน ทำไม่ได้ทั้งตามบทบัญญัติ หรือ ธรรมเนียมปฏิบัติ ทางด้านความรู้สึกที่มี ก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่ ดังนั้นสิ่งที่ โฮเชยา ทำกำลังสวนทางกับทุกอย่างทั้งเหตุผลและอารมณ์ ซึ่งเรื่องนี้นำไปสู่การเปิดเผยพระลักษณะของพระเจ้า เป็นเรื่องของความรักที่อยู่เกิน เหตุผล และ อารมณ์

 

โกเมอร์จะรู้สึกอย่างไร จะเข้าใจเรื่องนี้ไหม ทิ้งคนอื่น แต่ก็ ถูกทิ้ง เรื่องนั้นเราไม่รู้ แต่ พระคัมภีร์ เน้นความรู้สึกของโฮเชยา ซึ่งพระเจ้าบอกให้ โฮเชยา รับ โกเมอร์ กลับ แล้ว พระเจ้าจะสำแดงความรักให้แก่ อิสราเอล แบบเดียวกับที่โฮเชยา ที่ทำ ต่อภรรยาที่รับกลับมานั้น

 

พระเจ้ารู้ว่า อิสราเอล ทิ้งพระเจ้าไปหาพระบาอัล แม้พระเจ้าจะรู้ว่า เขาแสวงหาพระเจ้าแค่เปลือก เหมือน กับ โกเมอร์ที่เล่นชู้ ที่ละทิ้งสามีไปหาสามีใหม่ แต่พระเจ้าก็ยังจะนำเขากลับมาสู่ความรักของพระองค์

 

ความรักในตอนน้ี มี ชื่อว่า เฆระ-เสร็ต เป็นคำที่แปลยาก จะแปลว่า ดีงาม(Goodness) รักเมตตา(Compassion) หรือ ภักดี(Royalty) หรือ รักมั่นคง ซึ่งแปลยากมาก เหมือนเพลงความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยยั้งหยุด” คือใช้หนึ่งเพลงเพื่อบรรยายคำนี้แหละ หรือถ้าให้คิดง่าย ให้ลองเอาคำพวกนี้ เอามาปั่นรวมกันในเครื่องปั่นละเอียด จะได้คำว่า เฆระเสร็ด

 

นี้เป็นความรักที่พระเจ้ามีต่ออิสราเอล เป็น ความรักตามพันธสัญญา(Covenant Love)

 

เป็นความรักที่เหนืออารมณ์ เหนือเหตุผล เป็นความรักที่มุ่งมั่นที่จะทำตาม “พันธสัญญา”

ด้วยเหตุนี้ โฮเชยา จึงไปรับ โกเมอร์ กลับมา เพราะคำปฏิญาณที่เคยให้ไว้ แล้ว พระเจ้าก็รับอิสราเอลกลับมารื้อฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ ตามที่พระองค์ได้ทำพันธสัญญาไว้ และ พระองค์จะไม่กลับคำ

นี้คือความรักแบบ เฆระเสร็ด

 

แผนการความรักนี้ยังไม่ได้จบที่รื้อฟื้นแค่ อิสราเอล แต่ความรักแบบ เคระเสร็ดนี้สัญญาว่าจะรื้อฟื้นความรักนี้ไปถึงมนุษย์ชาติคนอื่นๆอีกด้วย

 

ดังที่ พระคัมภีร์ บอกว่า วันหนึ่งพระเจ้าจะรื้อฟื้นความรักนี้ผ่านพงษ์พันธ์ของยูดาห์ คือ พระเมสสิยาห์ สู่บรรดาประชาชาติ

 

และ เมื่อพระองค์สัญญาแล้ว พระองค์จะไม่กลับคำ พระองค์จะรื้อฟื้นความรักนี้อีก

 

ในโฮเชยา พระเจ้าจะนำเขากลับไปที่อียิปต์อีกครั้ง นี้เป็นภาพเปรียบเทียบ เหมือนจุดเริ่มต้นของความรักของพระเจ้าเริ่มที่นี้ เหมือน การพากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความรัก เพื่อจะให้เขานึกได้ เพื่อจะไถ่เขาออกมาอีกครั้ง และนำไปสู่การพันธสัญญา เพื่อนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เป็นความรักดั้งเดิมที่พระเจ้าใส่ใจ

 

แล้วพระธรรมโฮเชยา ก็พามาถึงตอนจบที่แท้จริง

“ผู้ใดที่ฉลาด ก็ให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เถิด  ผู้ใดที่ช่างสังเกต ก็ให้เขารู้……”

 

อ่าว!!? นี่ไม่ใช่บทสรุปว่า โฮเชยา จะลงเอยกับ โกเมอร์ อย่างไร แต่กลับใช้วิธีจบแบบหนังสือ สุภาษิต เฉยเลย ซึ่งนี้ก็หมายความว่า ภาพความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของพระเจ้าผ่านการเล่าเรื่องด้วยชีวิตของ โฮเชยา สิ่งที่ โฮเชยาทำกับโกเมอร์  เรื่องราวทั้งหมด กำลังหันกลับมาถามผู้อ่าน สั้นๆกระชับๆ ว่า

“ถ้าคุณคือโกเมอร์ คุณจะตอบสนองยังไง”

……………………………………….

……………………………………….

ส่วนเสริม

ชื่อพระคัมภีร์เองก็อาจเป็นคำใบ้ในเรื่องนี้ โฮเชยา แปลว่า ความรอด ในพระคัมภีร์เล่มนี้ จะมีคำว่าผู้ที่ช่วยกู้ไม่มีใครที่ช่วยกู้ได้(นอกจากเรา) คำเหล่านี้กำลังจะแอบกระซิบทิ้งปมไว้ว่า มีพระเจ้าที่ช่วยกู้ให้รอดได้เท่านั้น ซึ่งชื่อนี้กำลังปูทางไปสู่เรื่องราวในอนาคต นั่นก็คือชื่อของ พระเยซู ชื่อชื่อของพระองค์ก็มีความหมายเดียวกัน คือ ความรอด

 

เรื่องราวต่างๆในโฮเชยายังถูกนำกลับมาพูดอีก เช่นเรื่อง โลลุหะมา โลอัมมี ที่ .เปาโล เปรียบเทียบไว้ในจดหมายฝาก บอกกับผู้อ่านที่เป็นคนต่างชาติที่แสวงหาพระเจ้าว่า ท่านเป็นเหมือนกับ ลูกที่ไม่มีพ่อ เปรียบเหมือน โลลุหะมา ที่ไม่ได้รับความเมตตา เป็น โลอัมมี ไม่ได้เป็นประชากร

 

ซึ่งเราก็ไม่ต่างกัน เรามีชื่อว่า โลลุหะมา และ โลอัมมี แต่ โดย พระเยซูคริสต์ เราจึงกลายเป็น ลุหะมา และ อัมมี คือเราได้รับความเมตตา และเรากลายเป็น ประชากรของพระเจ้า

 

ยอห์น พระเยซู เปาโล ก็ใช่คำของ โฮเชยา  เพื่อสำแดงความรักแบบ เฆระเสร็ด ที่มีมาตั้งแต่สมัยผู้เผยพระวจนะ เพื่อมาขมวดจบเรื่องราวทั้งหมดที่ ไม้กางเขน ที่สำหรับสำแดงความรักที่ ก้าวข้ามอารมณ์ และ เหตุผล และ เป็นแผนการที่จะนำความรัก การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นใหม่กับคนในโลกใบนี้อีกด้วย

 

 


Previous Next

  • Author:
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
  • Author:
  • อ.ธนิต โลเกศกระวี ผู้อำนวยการพระคริสต์ธรรมเชียงใหม่ (CTS) หรือ พี่ใช้ รุ่นพี่ผู้รับใช้ผู้มีไฟ และมีเป้าหมายที่จะสืบสาน และ ส่งต่อความเข้าใจในพระคัมภีร์ให้กับพี่น้องคริสเตียน และ ผู้รับใช้รุ่นใหม่ๆต่อไป