EP. 54

คนแปลกหน้าที่เดินข้างฉันในวันที่ BTS ปิด


 

เรื่องราวนี้ ใช้เวลาในการอ่าน ประมาณ 5 นาที

 

“รู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้แบ่งปันเรื่องราวนี้ในชูใจโปรเจ็คซึ่งเป็นเว็บคริสเตียน ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า
ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่ก็มีความคุ้นเคยกับคริสเตียนอยู่บ้างทั้งเพื่อนและคนหลายคนที่เคยเจอในชีวิต”


______________________________

 

16 ตุลาคม 2020 ใจกลางกรุงเทพฯ

 

 

#16ตุลาไปแยกประทุมวัน ฉันเลื่อนหน้าจอมือถืออ่านแฮชแท๊กเด่นบนทวิตเตอร์ของวันนี้ เป็นข่าวสารที่ทำเอานั่งอยู่กับเก้าอี้ทำงานแทบไม่ได้ เพื่อนบางคนของฉันคงกำลังอยู่ในที่เหล่านั้น สถานการณ์การเมืองกำลังร้อนแรง ส่วนฉันได้แต่ภาวนาให้ทุกคนปลอดภัย

 

ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนในวันที่มีการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่  ฉันยังคงต้องทำงานตามปกติ ที่ทำงานของฉันอยู่ในย่านสุขุมวิทใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ แต่บ้านฉันอยู่ทางรถไฟฟ้าสายสีลม  ดังนั้นปกติเวลากลับบ้านจะต้องไปสลับขบวนที่สถานีสยามฯ ซึ่งเป็นสถานีสำคัญที่มีคนหนาแน่นมากที่สุดในเวลาเร่งด่วนก็ว่าได้

 

ช่วงใกล้เลิกงาน เพื่อนคนนึงส่งข้อความมาบอกว่า จะมีการปิด รถไฟฟ้าสถานีราชเทวี ,สนามกีฬาฯ และชิดลม ยังดีที่ไม่ได้มีประกาศปิดสถานีสยาม ตอนนั้นยังไม่ได้กังวลอะไรมาก คิดว่าคงนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านและสลับขบวนไปสายสีลมที่สยามฯ ได้ตามปกติ

 

พอถึงเวลากลับบ้านแม้เริ่มวิตกขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ชานชาลาตามวิถีปกติ  เนื่องจากเป็นช่วงควบคุมการการระบาดของไวรัส COVID-19 คนจึงไม่ได้พูดคุยกันบนรถไฟฟ้า ฉันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของความอึดอัดใจ แต่ละคนก้มหน้าก้มตาบ้างก็สะกิดกันให้ดูข่าวในมือถือ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศนี้ ฉันก็ได้มองไปนอกหน้าต่างพลางแอบฟัง และรอเสียงประกาศบนรถไฟฟ้าเหมือนที่ควรได้ยินทุกวัน

 

 

… สถานีต่อไป ‘สยาม’ ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปสายสีลมได้ที่สถานีนี้ โดยประตูรถจะเปิดด้านขวา 

Next station, Siam. Interchange with Silom Line. Doors will open on the…

 

เล่ามาขนาดนี้ก็แน่นอนล่ะ ประตูมันไม่เปิด!

 

พอเหตุการณ์จริงมาถึงปรากฏว่าขบวนรถ BTS ไม่จอดที่สยาม แถมวิ่งเลยไปจอดที่เพลินจิตแล้วเลยไปพญาไทยเลย นี่แหละคือชีวิตแบบป้ายโฆษณาชวนเชื่อที่คนเอาไปโพสต์ประชดในเน็ตบ่อยๆ ว่า

 

“กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว…”


ต้นฉบับจากเพจ ญี่ปุ่นเบาๆ

 

เชื่อเขาเลย … วันศุกร์คือวันที่เราก็รู้กันอยู่ว่าคนเดินทางเยอะกว่าวันอื่น การเดินทางโครตตตตตลำบากถ้าไม่วางแผนและเผื่อเวลาให้ดี

 

รถเมย์ไม่ผ่าน แท็กซี่ไม่ไป วินมอเตอร์ไซด์ไม่รับ รถที่รับคนก็มีน้อยเกินความต้องการ  ต่อให้ฉันได้รถก็ไม่รู้จะต้องติดบนถนนนานแค่ไหน เพราะสถานการณ์ไม่ปกติ คนกรุงเทพอย่างเราทำอะไรไม่ได้ถ้าระบบขนส่งมวลชนใช้การไม่ได้ การปิดสถานีบางสถานีไม่มีการแจ้งล่วงหน้า  เป็นการปิดระบบก่อนแล้วค่อยโพสต์บอกในเพจเฟสบุ๊คทีหลัง ดีมากจ้า

 

 

ที่สถานีพญาไท … ไม่ใช่แค่ฉันที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง คนอีกเพียบที่ชานชาลาก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน
และเพราะแบบนั้นฉันเลยมีโอกาส ได้เจอกับคนๆ นึง

 

 

ความบังเอิญ / โชคชะตา / หรือการทรงนำ?

 

เราเชื่อแบบไหนเราก็อธิบายการได้เจอกับใครซักคนแบบนั้น… แน่นอนว่าตอนนั้นไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ยืนงงไม่แน่ใจว่าจะไปต่อยังไง?  ฉันเดินไปถามเจ้าหน้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่บอกว่าพึ่งมีการประกาศปิดสถานีเพิ่มเติมเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง เพราะสถานการณ์ทางการเมือง

 

ในความวุ่นวายนั้นฉันได้เจอกับพี่ผู้หญิงคนนึง อายุใกล้ๆ กัน เขาจะไปสถานี BTS กรุงธนฯ (สายสีลมเหมือนกัน)  เราตกลงร่วมทางกัน เขาเสนอว่าไปทางรถไฟใต้ดิน MRT ดีไหม?

 

 

ถ้าไปตามนั้นเราต้องนั่งรถไฟฟ้า BTS จากพญาไทไปสถานีอโศก ก่อน แล้วเปลี่ยนขบวนไปลง MRT สุขุมวิท (ที่จุดเชื่อมต่อ)  นั่งรถใต้ดินไปที่สีลมแล้วขึ้นไป รถไฟฟ้า BTS ที่สถานีศาลาแดงก่อนจะไปต่อ  ซึ่งก็ยากอีกเล่าไปก็ปวดหัว

 

… สรุปว่าไม่ได้ไปตามแผน

 

 

เพราะพอมาถึงอโศก ปรากฏว่าคนมหาศาลล้นชานชาลา แถวจากโซนรถใต้ดิน MRT ยาวขึ้นมาถึงบนสถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก คนจาก BTS อโศก ก็ออกไปไหนไม่ได้ลงใต้ดินก็ไม่ได้เพราะคนแน่น มองออกไปข้างนอกก็ฝนตกแรง  ตอนนั้นคิดไม่ออกหรอกว่าจะเอายังไงต่อ  คิดแค่ว่านั่งแท็กซี่คงไม่ไหว รถติดเหลือเกิน

 


ภาพเหตุการณ์ ฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมวันที่ 16 ตุลา 2020

 

ตอนนั้นเป็นเวลาเดียวกับช่วงที่กำลังเกิดความวุ่นวายเกิดขึ้นที่แยกปทุมวัน ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ น้ำแรงดันสูงฉีดใส่ผู้ชุมนุม ความโกลาหลเกิดขึ้นไปทั่ว

 

ในที่สุด ‘ฉันและพี่เขา’ ก็ตัดสินใจลงที่สถานีเพลินจิต  แล้วคิดว่าเดินดีกว่าตัวฉันเดินไหวอยู่แล้ว ตอนแรกก็คิดว่าถ้าพี่เขาจะตามมาก็จะเดินแค่ถนนวิทยุ เพราะตรงสุดถนนวิทยุมีสถานีรถใต้ดิน MRT สวนลุม เผื่อพี่เขาจะเดินทางต่อนั่งรถใต้ดินไปสถานีเดียว แล้วไปต่อ BTS ศาลาแดงไปตามเส้นทางของเขา ส่วนฉันก็เดินต่อไปบนถนนสาทร

 

แต่พอถึงแล้วพี่เขาไม่ไป พี่เขาตามฉันมาเดินถนนสาทรต่อด้วยกัน!

ความพีคคือตอนเดินอยู่ในตึกปาร์คเวนเจอร์ (Park Venture) หลังลงจาก BTS เพลินจิต พี่เขาพูดขึ้นว่า ‘ขอบคุณพระเจ้า’ (จากนี้ขอแทนชื่อเขาว่า พี่คริสก็แล้วกัน เพราะมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นคริสเตียน)

 

“ขอบคุณพระเจ้าที่พามาเจอน้อง ไม่งั้นพี่คงคิดไม่ออกว่าจะไปยังไงดี”

“พี่เป็นคริสเตียนเหรอคะ?”

“ใช่ค่ะ น้องก็เป็นคริสเตียนเหรอ”

“เปล่าค่ะ แต่ก็รู้จักคริสเตียนหลายคน”

 

 

จากประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยคนี้ ก็ทำให้เราเปิดใจคุยกันอีกหลายเรื่อง  เราก็เดินไปคุยไปเกือบชั่วโมง นี่คือการเริ่มต้นจากคนแปลกหน้า ฝนยังคงตกอยู่ ทั้งๆ ที่มีร่มคันเดียว  พี่คริสสามารถแยกออกไปได้ที่สถานีก่อนแต่เขาก็ยังคงเดินเป็นเพื่อนฉัน   ฉันได้รู้ว่าพี่คริสกำลังเดินทางไปหาญาติเพราะเธอฝากลูกสาววัย 6 ขวบไว้ พี่คริสเล่าเรื่องการพูดเรื่องการเลี้ยงลูก ว่าพี่เขาไม่ให้ลูกเล่นมือถือ สามีก็ไม่ให้เล่น

ฉัน: “ดีจังค่ะ ผู้ชาย บางคนชอบเล่นเกม ลูกก็เล่นตามจนติด เราบอกให้เค้าเลิกได้นะ แต่จะบอกลูกยังไง”
พี่คริส: “สามีพี่ไม่เล่นเกมค่ะ”
ฉัน: ดีจังค่ะ
พี่คริส: เราต้องเลือกคนดีค่ะ
ฉัน: “ฮ่าๆๆๆๆ  จริงค่ะพี่”
พี่คริส: “ผู้หญิงเราต้องเลือกคนที่ดีจริงอยู่แล้วมาเป็นคู่ชีวิตนะ ถ้าไปเจอคนที่เหมือนจะดีบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง สุดท้ายเค้าอาจจะทำไม่ได้ แล้วเราจะเสียใจ”

 

 

…ฉึกกกกก! โดนไปหนึ่งดอก…

 

ฉัน: “แล้วพี่ไปเจอกันได้ไงคะ”
พี่คริส: “เจอกันที่โบสถ์ค่ะ”
ฉัน: “ดีค่ะ” (นึกในใจ น่านนนนนไง ‘คู่พระพร’ ไงล่ะ แม้ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียนแต่ก็เคยได้ยินเรื่องคู่พระพรจากเพื่อนของฉันและฉันก็เชื่อว่ามีจริง เพราะเท่าที่เคยสัมผัสก็รู้สึกว่าคู่เหล่านั้นเขาเข้ากันได้ดีจริง ๆ ดูรักกันแคร์กัน)

 

เราคุยกันสัพเพเหระตามประสาผู้หญิงๆ สิ่งที่ฉันแปลกใจก็คือ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนแปลกหน้าเลย ฉันค่อนข้างสบายใจและรู้สึกปลอดภัยเมื่อเดินอยู่บนถนนนี้กับพี่เขา เราแชร์ร่มคันเดียวกันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ

 

 

 

 

พี่มีความรู้สึกว่า พระเจ้าเรียกน้องมานานมากๆๆ แล้วใช่ไหมคะ?

 

ประโยคสำคัญที่เกาะกุมใจฉัน… ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพี่เขาถึงรู้สึกแบบนี้ อาจเพราะสิ่งที่เราคุยกันระหว่างทาง หรือ เป็นความมั่นใจจากสถานการณ์วันนี้ที่เราสองคนได้พบเจอกัน  ความรู้สึกแบบนี้ก็เป็นความรู้สึกที่ฉันเองก็ค่อนข้างมั่นใจ

 

ฉัน : “ใช่ค่ะ ตั้งแต่ประถมถึงมหาลัย มีเพื่อนสนิทนับถือคริสมาตลอดทั้ง คาทอลิค และ โปรแตสแตนท์”

พี่คริส: “ตอนเราจะแยกกัน พี่ขออธิษฐานเผื่อน้องนะคะ”

ฉัน: “ได้ค่ะ”

 

พี่เขาอธิษฐานยาวมาก จับใจความได้ว่า การที่เรามาพบกันเป็นการทรงนำ (destiny) ขอบคุณพระเจ้า และขอให้พระเจ้าอวยพรให้ฉันพบสันติสุขในจิตใจ ขอให้ฉันเอาชนะ คำหลอกลวง และ คำดูหมิ่น ทั้งหลาย ขอให้ฉันได้เจอกับสิ่งที่ดีและสมปรารถนา  หลังจากอาเมนเขาก็พูดว่า

 

 

อยากให้น้องรู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ข้างเราเสมอ”

 

 

เวลาที่เราเจอกันเกือบ 1 ชั่วโมง ฉันเดินไปส่งพี่คริสที่สถานี BTS ช่องนนทรี เราก็แยกกันตรงนั้น สิ่งนึงที่เป็นเรื่องแปลกในวันนั้นก็คือระหว่างที่เราตัดสินใจลุยฝนลงไปเดิน อยู่ๆ ฝนมันก็ซาจนตกแค่ปรอย ๆ พอส่งพี่เขาที่ช่องนนทรี เสร็จฝนถึงเริ่มตกแรง

 

ตอนนี้พี่คริสคงอยู่ระหว่างทางไปหาลูกสาว คงไม่ต้องใช้ร่มแล้ว ส่วนฉันก็เดินออกมาโดยที่มีร่มคันนั้นจึงไม่ต้องตากฝน ตอนนั้นกระแสข่าวในเน็ตเรื่องการสลายการชุมนุมแรงมาก มีเพื่อนหลายคนที่รู้ข่าวว่าฉันต้องเดินกลับบ้านก็ทักมาถาม ว่าปลอดภัยดีไหม ฉันได้แต่บอกว่า ฉันถึงบ้านปลอดภัยดี

 

 

 

…ฉันทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา…

 

ท่ามกลางความวุ่นวายใน สังคม รถไฟฟ้า BTS มีปัญหาไม่แจ้งล่วงหน้า  ฝนตกหนักจนการจราจรเรียกได้ว่าเป็นอัมพาต  ฉัน ผู้หญิงคนเดียวที่อาจต้องเดินบนพื้นเปียกท่ามกลางถนนมืด  มีผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาร่วมทางเป็นเพื่อนไปกับฉัน เธอ อายุมากกว่าฉันเล็กน้อย เธอยินดีจะเดินเคียงข้างเป็นเพื่อนร่วมทางกับฉันเป็นระยะทางไกลกว่าที่จำเป็น เราสองคนเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเราไม่เลือกที่จะบ่นแต่ถือว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่ได้เจอกัน  ฝนซาลงเปิดทางให้ เรา เดินคุยกันอย่างไม่ต้องรีบร้อนอย่างสนิทใจ ฉันมารู้ทีหลังว่าเธอเป็นคริสเตียน และเธอยังขออธิษฐาน เผื่อฉัน ขอให้ พระเจ้า  ดูแลและอวยพรก่อนฉันที่จะแยกจากกันด้วย

 

“สิ่งนี้คือ Destiny ใช่ไหม?”

 

ฉันมีโอกาสรู้จักกับคริสเตียนบางคนก่อนหน้านี้ ผ่านการเข้าอบรมเกี่ยวกับจิตวิทยา มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนบางคนและไปร่วมนมัสการกับเขาที่โบสถ์สองสามครั้ง  หนึ่งในนั้นทักฉันมา เมื่อเห็นโพสต์ลงเฟสบุ๊คว่าฉันต้องเดินตากฝนกลับบ้าน และนั่นเป็นโอกาสให้ฉันได้เล่าเรื่องนี้กับเขา และเขาเองก็ขอให้ฉันได้แบ่งปันเรื่องราวนี้ให้กับ เว็บชูใจ ส่วนบทสนทนาในเรื่องนี้ คือสิ่งที่ฉันจำได้และส่งข้อความเล่าให้เพื่อนอีกคนได้อ่าน

 

ข่าวที่ฉันได้อ่านก่อนหน้านี้พูดถึง ความสิ้นหวังมากมายในสังคม ความวุ่นวายและความขัดแย้ง ดูเหมือนหาทางออกไม่ได้ ดูซับซ้อนวุ่นวายไม่ต่างจากการหาวิธีกลับบ้านของฉัน และพี่คริสในวันนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร ฉันรู้สึกดีมาก ที่ในสังคมของเรายังมีคนดีๆ อยู่ไม่น้อย

 

ก่อนหน้านี้ ฉันเฝ้าถามตัวเองว่า สังคม ที่ฉันอยากเห็นนั้นเป็นแบบไหน สังคมแบบนั้นจะมีอยู่จริงไหม?  มีสังคมแบบหนึ่งที่เราต่างอยากให้เกิดขึ้น ไม่ใช่สังคมในตำรา หรือในบทความวิชาการ แต่เป็น ‘สังคมที่อยู่ในใจของเรา’  ฉันจำได้ว่า เพื่อนคริสเตียนชอบพูดว่า พระคัมภีร์บอกว่า  ‘ให้เราปฏิบัติกับคนอื่นอย่างที่ปรารถนาที่จะให้คนอื่นปฏิบัติแบบนั้นกับเรา’ สังคมที่อยู่ในใจ คือสังคมที่เราต้องต่อสู้กับตัวเองเพื่อทำให้สังคมแบบนั้นเกิดขึ้นจริง

– ถ้าเรายอมเดินไกลขึ้น 1 ก้าว เพื่อให้ 1 ก้าวนั้นเป็นก้าวที่ปลอดภัยของคนอื่น
– ถ้าเรายอมไม่พูด 1 ประโยคเพื่อได้มีโอกาส ฟัง 1 ประโยคของคนอื่น
– ถ้าเรายอมเปียกยอมหนาวร่างกายสักหน่อย เพื่อให้อีกคนได้รู้สึกอุ่นใจขึ้น

 

…ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่คริสถึงเดินมาพร้อมฉัน …

 

________________________________________

 

ชูใจ

ท่ามกลางสถานการณ์ในบ้านเมืองของเรา ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายในสังคมที่ยังไม่ดีพร้อม และรอการแก้ไข แต่ฉันก็หวังว่าระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้น เราจะยังสามารถแสดงความรัก ความห่วงใยแก่กันได้ ในฐานะพี่น้อง และเพื่อน ในเส้นทางที่เราเดินไปนั้นยังมีคนที่เราควรอยู่ข้างๆ และเดินเคียงข้างกับคนเหล่านั้นด้วย

 

ถึงตรงนี้ ต้องจบด้วยคำว่า พระเจ้าอวยพรสินะ

#พระเจ้าอวยพรค่ะ

ป.ล. หวังว่าเพื่อนๆ คริสเตียนจะได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวนี้และมีกำลังใจมากขึ้น

 

 


ชาวชูใจสามารถร่วมสนับสนุน ชูใจ Project ได้ด้วยการถวายทรัพย์ ด้วยการอธิษฐานเผื่อ และแบ่งปันเรื่องราวของคุณให้กับเรา
เพื่อเป็นพระพรและหนุนใจกันและกันต่อไปค่ะ www.choojaiproject.org/donate/


Previous Next