แชร์เรื่องโดย : สบันอะไรงางา
วันที่เผยแพร่ : 13 กันยายน 2021
จากการที่ได้ฟังคำพยานมากมายมาจากพี่น้องคริสเตียนในโบสถ์ เราได้เห็นว่าทั้งจุดเปลี่ยน จุดที่พระเจ้าเข้ามาในชีวิต หรือจุดที่ทำให้พี่น้องได้มองเห็นถึงการมีอยู่ของพระเจ้า มักจะเป็นจุดที่อยู่ในช่วงเวลาอันยากลำบาก หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตาย
แต่เรื่องที่สบันจะเล่าในวันนี้เป็นเรื่องของตัวเองที่เรียกได้ว่า “นิ่-ง-ส-นิ-ท” เหมือนนั่งรถไฟหวานเย็นจากเชียงใหม่ไปยะลา!
ที่เปรียบเทียบแบบนี้ก็เพราะว่ามันช้าๆ เอื่อยๆ ดำเนินไปแบบเรื่อยๆ มีจุดแวะพักหลายสถานีระหว่างทาง ไม่มีเหตุการณ์รถไฟตกราง ไม่ตื่นเต้น ไม่โดดเด่น แต่กลับกันก็ไม่ลำบากจนถึงขั้นทนไม่ไหว ใกล้เคียงกับคำว่า “สบายๆ” เสียด้วยซ้ำ
___________________________
ที่ผ่านมา เราคิดว่าพระเจ้าอวยพรชีวิตของเรามากๆ เลย มีทั้งที่อยู่ มีข้าวกินทุกมื้อไม่ขาด (บางวันก็เกินมื้อหลักด้วยซ้ำ) รวมถึงมีสภาพจิตใจที่พร้อมจะอารมณ์ดีตลอดเวลา (เพราะถึงคนเราจะไม่สามารถอารมณ์ดีได้ตลอดเวลา แต่เราก็พร้อมจะสลัดความรู้สึกแย่ๆ ทิ้ง แล้วกลับมายิ้มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้)
ขอบคุณพระเจ้าที่มอบจิตใจที่แข็งแกร่งแบบนี้ให้
แต่ชีวิตมันก็ “นิ่-ง-ส-นิ-ท” แบบนี้มานานหลังจากที่เราได้รับพระเจ้าเข้ามาในชีวิต
ต้องขอบอกว่ามันสงบสุขเกินไป… จนกระทั่งคิดขึ้นมาว่า “ชีวิตในพระเจ้ามันดีแบบนี้นี่เองสินะ” แต่เอ๊ะ “ความสงบสุขในใจหรือในชีวิตเรามันเกิดประโยชน์หรือเป็นพระพรให้คนอื่นบ้างหรือเปล่านะ?” คำถามนี้เกิดขึ้นมาในหัว ซึ่งมันทำให้เราต้องกลับมาคิดเลยว่า การเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้รับการอวยพรมากมาย ถึงขนาดว่าปัญหาเล็กน้อยที่มีเราก็รู้ว่าถ้าเรียกหา พระเจ้าจะช่วยเราแน่นอน แต่แล้วชีวิตของเราที่ผ่านมามันเกิดผลยังไงบ้างนะ?
ใช่ เราอยู่ทีมนมัสการ นำร้องเพลงที่โบสถ์เป็นครั้งคราว และต้อนรับพี่น้องในโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ด้วยความชื่นชมยินดี แต่หลายครั้งเรากลับนำนมัสการด้วยจิตใจที่ไม่พร้อมยกให้พระเจ้า 100% บางครั้งที่ทำไปก็อาจเพราะตัวเราบังเอิญไปอยู่ในสถานการณ์นั้นพอดี สถานการณ์รอบข้างที่นำพาให้เราทำตัวเป็นประโยชน์ต่อพระเจ้า ทั้งที่จริงแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่เราตั้งใจจะพาตัวเองออกไปเพื่อเป็นแสงสว่าง และประกาศถึงความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเลย
ทำไมเราถึงไม่กล้าพูด? ทำไมเราถึงไม่กล้ายกทั้ง 100% ในชีวิตให้พระเจ้า?
ทั้งๆ ที่พระเจ้าอวยพรเราขนาดนี้
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเลยเริ่มอธิษฐานขอพระเจ้ามอบโอกาสให้เรามีใจที่จะยอมรับพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ และเปิดหัวใจของเราให้ยอมถ่อมตัวเองลงเพื่อแสดงให้คนอื่นได้เห็นว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ และอวยพรชีวิตเราอย่างไรบ้าง
___________________________
โอกาสนั้นแวะมาหาเราถึง 2 ครั้ง และเราปฏิเสธมันไปทั้ง 2 ครั้ง ด้วยการอ้างเหตุผลว่าติดงาน งานยุ่งมากเลย ไปไม่ได้ แม้ในใจลึกๆ แล้วเราจะรู้ตัวเองดีว่ากำลังขี้เกียจ และกลัวการพาตัวเองไปอยู่ในสังคมคริสเตียนแปลกหน้า ต้องพยายามทำความรู้จักกับกลุ่มคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แถมยังต้องพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติอีก… เราทำไม่ได้หรอก ขี้เกียจพยายาม
ขณะที่ยังอธิษฐานขอพระเจ้าให้เปิดใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากตัวเองที่อธิษฐานเอง หรือพี่น้องที่โบสถ์อธิษฐานเผื่อ พระเจ้าก็มอบโอกาสนั้นมาให้อีกครั้ง เมื่อ “ค่ายอมก๋อย” ที่โบสถ์เราจะจัดขึ้นประจำทุกเดือนธันวาคมของทุกปีแวะเวียนมาถึง เมื่อพี่จิต (นามสมมติ) ได้ชักชวนเราไปร่วมค่ายเหมือนทุกปีที่ผ่านมา
ต้องขอเล่าตรงนี้ก่อนเลยว่า “พี่จิต” เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลกับชีวิตคริสเตียนของเรามากคนหนึ่ง เนื่องจากเป็นคนที่สอนพระคัมภีร์มาตั้งแต่ก่อนเรารับเชื่อ แล้วยังเป็นคู่อธิษฐานที่คอยให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่องของชีวิต อีกทั้งเป็นพี่สาวใจดีที่ไม่เคยหมดหวัง หรือท้อในการชวนเราไปทำกิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์ ที่สำคัญคือในช่วงที่เราขาดนมัสการวันอาทิตย์ที่โบสถ์บ่อยๆ ก็ได้พี่จิตนี่แหละที่คอยชักชวนกลับมาหรือออกมาพบปะกันนอกเวลาบ้าง ซึ่งก็เพราะความไม่ย่อท้อและใจที่จดจ่อกับพระเจ้าของพี่จิตที่ทำให้เรา-ผู้ปฏิเสธตัวเอง (และพระเจ้า) ถึง 2 ครั้ง ให้ตัดสินใจไปร่วมค่ายในที่สุด
ธันวาคม 2019 ขอบคุณแรงอธิษฐานทั้งหลายจากพี่น้องที่ทำให้เราเอ่ยปากตกลงไปค่ายอมก๋อยในปีนี้
แม้ว่าในใจจะรู้สึกว่าไม่อยากไปเท่าไหร่ แต่ลองดูสักหน่อยแล้วกัน…
ในตอนนั้นเราไม่คาดคิดเลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนความคิด
และตอบคำถามในใจของเราที่มีต่อการใช้ชีวิตแบบรถไฟหวานเย็นได้ทั้งหมด
เราเตรียมใจไว้ว่าจะไปด้วยใจรับใช้และสนุกให้เต็มที่ ด้วยความที่ชอบการทำกิจกรรมอยู่แล้วเลยปรับตัวได้ไม่ยาก การพบเพื่อนต่างชาติจากสิงคโปร์ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร ถึงแม้จะไม่คุ้นกับสำเนียงภาษาอังกฤษที่แปลกใหม่ แต่ก็สนุกสนานมากทีเดียว
วันแรกที่ไปถึงหอพักนักเรียนในอมก๋อยเราก็ไปทักทายเด็กๆ และช่วยทำกับข้าว พูดคุยและใช้เวลากับเด็กๆ อย่างสนุกสนาน จนถึงตอนเย็นที่ทุกคนกินข้าวและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาของการนมัสการพระเจ้า เด็กๆ จะมารวมตัวกันนมัสการแบบนี้วันละ 2 ครั้ง คือ ทุกเวลาเช้าก่อนไปโรงเรียน และทุกเย็นก่อนเข้านอน
กิจกรรมการนมัสการดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นปกติ จนกระทั่งเพลง “เปลี่ยน” ได้ถูกขับร้องขึ้น
“สิ่งดีๆ มากมาย ที่พระองค์ประทานให้ข้า
วันเวลาที่ได้มา ใช้เพื่อทำอะไร? …” (เพลง เปลี่ยน – จ็อบ พงศกร )
ทันทีที่เนื้อเพลงเริ่มขึ้นได้ไม่นาน ความรู้สึกในตอนนั้นก็เหมือนกับว่าในที่นี้มีเพียงเรากับพระเจ้า ทั้งที่มีผู้คนมากมายในห้องประชุม แต่เรากลับเหมือนได้ใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้า ดำดิ่งและใคร่ครวญคำตอบที่พระเจ้าบอกผ่านบทเพลง
เรามีประโยชน์อะไรในอาณาจักรของพระเจ้า? เราต้องทำอะไรบ้าง? ความหมายแท้จริงในการมีชีวิตอยู่ของเราคืออะไร? พระเจ้าสร้างตัวตนนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร? และจุดมุ่งหมายระหว่างอยู่บนรถไฟหวานเย็นคืออะไร?
…
พระเจ้าตอบกับเราว่า พระองค์มีแผนงานมากมายที่เตรียมไว้ให้ในชีวิตนี้
ยิ่งพอถึงท่อนคอรัสก็ยิ่งตอกย้ำให้เราอ้อนวอนกับพระเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ “เปิด” และ “เปลี่ยน” หัวใจที่เคยนึกถึงแต่ตัวเองเป็นหลักให้กลายเป็นหัวใจแห่งการรับใช้ และให้เป็นหัวใจที่เหมือนกับพระเยซูมากขึ้น
“ขอทรงเปิดหัวใจ ขอทรงให้สายตา กําหนดวันเวลา ให้ชีวิตข้ามีความหมาย
ขอทรงเปลี่ยนหัวใจ ให้เป็นเหมือนพระทัยพระองค์ ที่ทรงรักทรงห่วงผู้คนทุกๆ คน”
เมื่อปากร้องท่อนนี้ด้วยใจถ่อมและความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่าพระเจ้าจะสามารถเปลี่ยนจิตใจของเราได้ ก็ทำให้บทเพลงนี้กลายเป็นเพลงพิเศษที่เหมือนกับคำอธิษฐานและคำตอบของชีวิตสบายๆ ที่อยู่บนรถไฟหวานเย็นของเรา ในเมื่อพระเจ้าอวยพรชีวิตของเราขนาดนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือการส่งพระพรที่ได้รับต่อไปให้กับคนอื่นๆ การตัดสินใจเกิดขึ้นช่วงวินาทีนั้นเลยว่า ชีวิตนี้จะใช้ไปเพื่อการรับใช้ เราตั้งมั่นจะใช้พระพรที่เรามีเพื่อรับใช้ผู้อื่นและถวายเกียรติแก่พระเจ้าให้เต็มที่ที่สุด!
ความรู้สึกว่าเอาเปรียบพระเจ้าที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้หายไปเหมือนยกภูเขาไฟออกจากอก เพราะการมีเป้าหมายในชีวิต เป้าหมายที่ดำเนินไปได้ด้วยรถไฟหวานเย็น ถึงจะราบเรียบไม่ตื่นเต้น แต่ก็สุขใจเมื่อผ่านแต่ละจุดหมายที่ค่อยเปลี่ยนให้เราเป็นเหมือนพระเยซูในทุกสถานีของชีวิต ทีละเล็ก ทีละน้อย ไปช้าๆ อย่างมั่นคง โดยเป็นเกลือและแสงสว่างในทุกที่ที่เราไป
“พวกคุณเป็นเกลือของโลกนี้ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้วจะทำให้เค็มอีกได้อย่างไร
มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วนอกจากเอาไปทิ้งให้คนเหยียบย่ำ
พวกคุณเป็นแสงสว่างของโลกเมืองที่สร้างอยู่บนภูเขาจะเอาไปซ่อนไว้ ไม่ให้คนเห็นก็ไม่ได้
เหมือนกับเมื่อจุดตะเกียง ก็ไม่มีใครเอาไปไว้ใต้ถัง
แต่จะเอาไปตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อจะได้ส่องสว่างให้กับทุกคนที่อยู่ในบ้าน
พวกคุณก็เหมือนกัน ให้ส่องสว่างออกไปเพื่อคนจะได้เห็นความดีที่คุณทำ
และจะได้สรรเสริญพระบิดาของคุณที่อยู่บนสวรรค์”
(มัทธิว 5:13-16 THA-ERV)
หนุนใจให้พี่น้องยินยอมรับพระเจ้าเข้ามาเปิดและเปลี่ยนจิตใจของเรา ไม่ว่าจะด้วยชีวิตแบบไหน หรือด้วยพระพรแบบไหน ก็ขอพระเจ้าเตรียมเราให้พร้อมที่จะเป็นเกลือรสเค็ม และเป็นเทียนที่นำแสงสว่างไปด้วยในทุกๆ ที่ที่พี่น้องอยู่
ด้วยรักและขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
สบัน
เรื่องราวที่เป็นพระพรเหล่านี้สามารถหนุนใจผู้คนได้มากมาย ร่วมส่งต่อพระพรของพระเจ้าด้วยการแบ่งปันเรื่องราวของคุณกับชูใจได้ ด้วยการส่งเรื่องราวมาทางเพจเฟสบุ๊คของชูใจ หรือทาง Email
อ่านรายละเอียดเพิ่มได้ที่ >> https://www.choojaiproject.org/choojai-forward ด้วยรักและชูใจนะคะ : )
Related Posts
- Illustrator:
- Emma C.
- เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน