Get up on the wrong side od the bed

EP. 58

ชีวิตหักๆ เมื่อลงเตียงผิดข้าง (Get up on the wrong side of the bed)


แชร์เรื่องโดย : Gade (นามสมมติ)
วันที่เผยแพร่ : 27 กันยายน  2021

 



 

“get up on the wrong side of the bed”

 

สำนวนที่เปรียบเทียบความอารมณ์ไม่ดีกับการลงเตียงผิดข้างเกิดขึ้นจริงกับชีวิตเราแล้วในตอนนี้ เมื่อการได้พักโรงแรมดีๆ ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าคุณจะตื่นมาสดใสและสบายเหมือนอย่างที่คิด เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคุณตื่นมาแล้วลุกลงจากเตียงข้างไหนต่างหาก!!!! 

 

_________________________

 

เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นขณะมาทริปสัมนาแล้วตื่นในห้องพักสุดหรู เช้านี้ช่างสดใสจนกระทั่งลงเตียงผิดข้างแล้วเข้าใจไปเองว่าเท้าเหยียบพื้นห้องอยู่ แต่ที่ไหนได้ยังเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของเตียง พอก้าวเดินเลยร่วงจากขอบเตียงลงไปกองบนพื้นแบบเสียงดังจนเพื่อนร่วมห้องต้องตื่นมาดูใจ

“น่าจะข้อเท้าแพลงแหละ” คิดอย่างนั้นจนสัมนาเสร็จช่วงเย็นๆ แล้วค่อยไปหาหมออย่างไม่รีบร้อน

 

 

แสงไฟลอดผ่านแผ่นเอกซเรย์จนเห็นรอยหักเฉียงบริเวณกระดูกเท้าข้างขวาด้านนอกยาวลงมา สรุปคือกระดูกหักจากปัจจัยสำคัญที่หมออธิบายว่า “ด้วยน้ำหนักและอายุ” ขนาดหมอพูดเบาๆ ยังฟังแล้วเจ็บกว่าแผลที่เท้าอีก

 

 

และปัญหาชีวิตก็เกิดเมื่อหมอบอกว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนกว่ากระดูกจะเชื่อมกัน อาการไม่ร้ายแรงถึงขั้นผ่าตัด แต่ต้องใส่เฝือกอ่อนแล้วมาดูอาการทุกเดือน ระหว่างนี้พยายามอย่าเดินเยอะและใช้ไม้เท้าพยุงตัวไปก่อน… เอ้า ทำยังไงล่ะทีนี้? งานที่ทำก็ต้องเดินทางตลอด แถมใกล้วันที่จะไปญี่ปุ่นอีกต่างหาก

 

ณ ตอนนี้เราได้แค่คิดวนไปมาว่า “พระเจ้าต้องการอะไรจากเหตุการณ์นี้กันนะ?”

 

 

ช่วงสัปดาห์แรกยังพอไหวกับการอยู่นิ่งๆ แล้วให้คนอื่นช่วย มีพ่อขับรถไปส่งที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานก็คอยเสิร์ฟข้าว, น้ำ และขนมจนเกือบต้องติดป้ายห้ามให้อาหาร ขากลับก็มีคนให้ติดรถไปส่งถึงบ้าน จะไปโบสถ์ก็มีพี่น้องคริสเตียนคอยแวะเวียนกันมารับ แต่เข้าสัปดาห์ที่สองเริ่มรู้สึกเกรงใจ ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปอีก 2-3 เดือน คนอื่นคงรู้สึกลำบากใจกับเราแน่เลย พอคิดแบบนี้ก็เริ่มเดินเยอะขึ้นเพราะพยายามจะพึ่งพาตัวเอง

 

เจ็บที่กระดูกส่วนหน้าก็เดินลงน้ำหนักที่กระดูกส้นเท้าแล้วกัน

แค่นี้เราต้องทำได้สิ คนที่พิการยังไปไหนมาไหนเองได้เลย

 

 

 

ในที่สุดก็ตัดสินใจไม่เลื่อนทริปญี่ปุ่นด้วยความตั้งใจเดิม คืออยากไปเยี่ยมผู้ใหญ่ที่รักและเคารพก่อนเขาจะเข้าผ่าตัด แค่นี้เอง เรามั่นใจว่าเราต้องรอด เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อผู้พิการมากมาย ถึงสนามบินแล้วมีอาสาสมัครคอยเข็นรถเข็นให้ก็ยิ่งมั่นใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีจนลืมไปว่าที่นี่เป็นประเทศที่ใช้การเดินเป็นหลักเมื่อต้องโดยสารรถไฟจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง สรุปคือทริปนี้ได้เดินเยอะกว่าที่คิด

แต่การเดินทางไม่สิ้นสุดแค่ญี่ปุ่นนะ พอกลับไทยก็ไปทำงานลงพื้นที่ขึ้นเขาลงดอยต่อ ระหว่างนั้นก็ดูแลตัวเองด้วยการแช่เท้าในน้ำอุ่น นอนวางเท้าให้สูงกว่าหัวตามที่แม่บอก

 

 

จนถึงวันนัดตรวจ หมอเอกซเรย์แล้วถามว่าไปไหนมาบ้าง? เดินเยอะเหรอ? ทำไมกระดูกยังไม่ต่อกันเลย? พร้อมกับย้ำให้อยู่นิ่งๆ จะได้หายเร็วๆ ตอนนั้นเราเหมือนกลับไปเป็นเด็กที่รู้ทั้งรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ แต่มันยากจังเลยนะ

 

ไม่นานนัก เพื่อนที่แคนาดาส่ง walking boot (อุปกรณ์สําหรับดามเท้าและข้อเท้า ใช้ในกรณีเอ็นอักเสบ ข้ออักเสบ และกระดูกหักในบางกรณี ลักษณะเหมือนรองเท้าบูทและเฝือก) มาให้เพราะเขาไม่ได้ใช้แล้ว คราวนี้เราเลยเดินโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า แถมยังหัดขี่มอเตอร์ไซค์แบบออโต้ด้วยความรู้สึกเป็นอิสระที่สามารถไปไหนมาไหนได้เองเหมือนเดิมพลางคิดเอาเองว่าไปตรวจรอบนี้ต้องดีขึ้นแน่ ในเมื่อมีเครื่องมือช่วยเดินมาแล้วแสดงว่าปลอดภัย เดินได้ แต่พอถึงวันนัดตรวจของเดือนที่ 3 กระดูกก็ยังไม่ติดกันดี

 

 

วันนั้นกลับบ้านไปด้วยความโมโห เศร้า หงุดหงิดตัวเอง รู้สึกแย่จนถามพระเจ้าว่าจะไม่ช่วยจริงๆ เหรอ ร้องไห้โวยวายด้วยความโกรธจนถึงมาอยู่ในจุดที่ยอมรับความจริงว่า เรื่องนี้เกินกำลังของเรา เราไม่สามารถต่อกระดูกเองได้ และต้องยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขเหมือนกับโดนฟาดหนักๆ ให้อยู่นิ่งๆ แล้วคอยดูว่าพระเจ้าจะรักษายังไง

 

“Be still, and know that I am God

– จงนิ่งเสีย แล้วรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า”

(สดุดี 46 : 10)

 

กลายเป็นว่าพอใจเรานิ่ง กายก็นิ่งตามไปด้วย… นิ่งแบบที่เชื่อว่าพระเจ้าคือพระเจ้า เราไม่ต้องรั้นพยายามทำทุกสิ่งหรือเป็นทุกอย่างก็ได้ เพราะเราไม่ใช่พระเจ้า การนั่งเฉยๆ ดูก้อนเมฆลอยผ่านไป หรือมองลมที่คอยพัดต้นไม้ใหญ่ทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ทุกอย่างล้วนเคลื่อนผ่านโดยที่เราไม่ได้เป็นศูนย์กลาง แต่เป็นพระเจ้าต่างหากที่คอยขับเคลื่อนทุกอย่าง ดังนั้น เราต้องลองเรียนรู้ที่จะอยู่นิ่งๆ แล้วมองดูพระเจ้าสร้างแคลเซียมมาต่อกระดูกให้เชื่อมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

 

 

สรุปแล้วพระเจ้าให้บทเรียนอะไรผ่านเหตุการณ์นี้บ้างนะ?

 

 

บทเรียนที่ 1 : บางอย่างที่เรามองไม่เห็นอาจจะแย่กว่าที่เรามองเห็นได้

ชีวิตก็แบบนี้ บางครั้งสะดุดบ้าง ล้มบ้าง เจ็บบ้าง และเราก็พยายามลุกขึ้นให้เร็วเพื่อไปต่อแล้วบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” แต่จริงๆ แล้ว มันอาจจะ “เป็นอะไร” มากกว่าที่คิด อย่างที่มองข้อเท้าแล้วชะล่าใจว่าความเจ็บครั้งนี้แค่ข้อเท้าแพลง แต่พอเอกซเรย์เห็นข้างในกลายเป็นว่ากระดููกหัก บรรดาความเจ็บปวดที่เรามองไม่เห็นก็เช่นกัน ครอบครัวร้าวฉาน บ้านแตก สายสัมพันธ์พังๆ สังคมเสื่อมโทรม ฯลฯ สิ่งที่เกิดขึ้นมีผลตามมาเสมอ อย่ารีบจนละเลย เจ็บมากเจ็บน้อยต้องคอยสังเกตเพื่อจะหาวิธีดูแลตัวเองให้พร้อมลุกขึ้น แล้วค่อยไปต่ออย่างมั่นคง

 

บทเรียนที่ 2 : เรียนรู้ที่จะเป็นผู้รับดูบ้าง

เมื่อการให้เป็นสุขยิ่งกว่าการรับ เราเลยชอบเป็นผู้ให้มากกว่า ชีวิตที่เคยชินกับการพึ่งพาตัวเองและให้คนอื่นพึ่งพากลับรู้สึกอ่อนแอเมื่อตัวเองต้องการความช่วยเหลือบ้างจนลืมไปว่าเรากำลังปิดโอกาสคนอื่นอยู่ ดังนั้น จงลองเรียนรู้ที่จะเป็นผู้รับเพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นได้กลายเป็นผู้ให้ดูบ้างด้วยความถ่อมใจและเรียนรู้ที่จะเป็นพระพรให้กันและกัน

 

บทเรียนที่ 3 : วิธีของพระเจ้าง่ายกว่าที่เราคิด

เราพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง รักษาและใช้เครื่องมือโดยใช้สารพัดวิธีจากความความรู้หรือประสบการณ์ทั้งของตัวเราเองและคนรอบข้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่ากับการอยู่นิ่งๆ ให้พระเจ้ารักษาเยียวยา และสังเกตสิ่งรอบตัวที่เป็นประโยชน์ดูบ้าง เช่น วิตามินดีจากแสงแดดประเทศไทยที่พระเจ้าให้มาทุกเช้า, วิตามินซีในผลไม้ หรือแม้กระทั่งแคลเซียมในผักและนม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้ฉุกคิดว่า จริงๆ วิธีการของพระเจ้าไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น แค่ต้องใช้ความเชื่อให้มากกว่า

 

บทเรียนที่ 4 : เข้าใจเพื่อนร่วมประสบการณ์ได้มากขึ้น

การต้องเดินด้วยไม้ค้ำที่แค่บนถนนดีๆ ก็ลำบากแล้ว ทำให้เรานึกถึงกลุ่มคนที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ คนที่ต้องใช้รถเข็น รวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องเคลื่อนไหวช้าๆ ตอนนี้เรารู้สึกเดือดร้อนมากขึ้นเมื่อเห็นคนที่ร่างกายสมบูรณ์ดีจอดรถในที่จอดสำหรับผู้พิการ, ตึกอาคารที่ไม่มีทางลาดหรือลิฟต์, การเดินบนฟุตปาธที่มีร้านค้าเกะกะจนต้องลงถนนแล้วต้องคอยหลบรถเอง ตัวอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่ได้เผชิญสถานการณ์เดียวกันคงไม่เข้าใจ มันทำให้เราอยากเป็นปากเป็นเสียงให้คนกลุ่มนี้และอยากให้คำแนะนำกับคนที่กำลังเจอในสิ่งเดียวกัน 

 

บทเรียนที่ 5 : ความอ่อนแอที่น่ายินดี

เวลาที่ใครถามว่ายังเจ็บอยู่ไหมก็ตอบไปตรงๆ ว่ารู้สึก ในที่นี้คือ รู้สึกว่ามันเคยหักและรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม แต่ความไม่เหมือนเดิมนี้มันทำให้เราเติบโตขึ้นมาก และเข้าใจในสิ่งที่ อ.เปาโล บอกตอนที่ขอพระเจ้าให้เอาหนามที่อยู่ในร่างกายออกไปว่า ความอ่อนแอนั้นน่ายินดีและขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นได้ด้วย

 

 

“พระเจ้าได้เปิดเผยให้ผมได้เห็นในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ แต่เพื่อไม่ให้ผมหลงระเริง

ผมได้รับหนามที่อยู่ในร่างกาย หนามนั้นคือทูตของซาตานที่มาคอยทรมานผม

ผมก็วิงวอนต่อองค์เจ้าชีวิตถึงสามครั้งให้เอาหนามนี้ออกไปจากผมที

แต่พระองค์ก็บอกว่า “ความเมตตากรุณาของเรามีเพียงพอแล้วสำหรับเจ้า

เมื่อเจ้าอ่อนแอฤทธิ์อำนาจของเราก็ทำงานได้เต็มที่”

ดังนั้นผมจึงยินดีที่จะโอ้อวดถึงความอ่อนแอของผม เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในผม

ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมอ่อนแอ ถูกดูหมิ่น เจอกับความทุกข์ยาก ถูกข่มเหงและเจอกับความยุ่งยากต่างๆ 

เพื่อพระคริสต์ ผมก็ยินดี เพราะผมอ่อนแอเมื่อไหร่ เมื่อนั้นผมก็กลับเข้มแข็ง”

(2 โครินธ์ 12:7-10)

 

_________________________

 

รวมทั้งหมดใช้เวลาไปเกือบ 5 เดือน ในการรักษากระดูกเท้าที่หักเพราะลงเตียงผิดข้างให้กลับมาต่อกัน สิ่งที่แตกหักไปพระเจ้าสามารถประสานมันขึ้นใหม่ได้ ถึงแม้จะไม่ได้ต่อสนิทเหมือนเดิม และยังรู้สึกทุกวันว่ามันไม่เหมือนเดิม ทั้งรอยต่อของกระดูกและจิตใจของเราที่เปลี่ยนไป

ถึงเหตุการณ์หักๆ ทั้งหลายในชีวิตจะทำให้รู้สึกได้ถึงความไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระอาทิตย์ยังขึ้นมาทุกๆ เช้า ดอกไม้ยังบานอยู่ และโลกยังหมุนไป นั่นคือสิ่งที่เป็นนิรันต์

 

#ด้วยรักและพระเจ้าเสริมเรี่ยวแรงค่ะ

 

 


 

เรื่องราวที่เป็นพระพรเหล่านี้สามารถหนุนใจผู้คนได้มากมาย ร่วมส่งต่อพระพรของพระเจ้าด้วยการแบ่งปันเรื่องราวของคุณกับชูใจได้ ด้วยการส่งเรื่องราวมาทางเพจเฟสบุ๊คของชูใจ หรือทาง Email
อ่านรายละเอียดเพิ่มได้ที่ >> https://www.choojaiproject.org/choojai-forward  ด้วยรักและชูใจนะคะ : )


Previous Next

  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน