ผู้เขียน: LaLa Bye


“ปีนี้เป็นปีที่ 14 ในการมาเป็นคริสเตียนของฉัน”

ความจริงแล้วฉันเป็นเพียงเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตแบบบ้านๆ วิ่งตามรถขายไอติมที่มีเพลงเป็นสโลแกน เนื้อตัวมอมแมม ไม่ห่วงความสวยความงาม ไม่ค่อยได้เห็นแสงสีในเมืองเท่าไหร่นัก

.

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า… ความรักของพระเจ้าจะไม่สามารถมาถึงคนบ้านนอกอย่างฉันนะ

 

______________________________

 

ฉันได้เข้ามาศึกษาต่อในวิทยาลัยประจำตัวเมืองลำปาง มีโอกาสใช้ชีวิตในแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ทั้งเมืองที่เต็มไปด้วยรถ ตึก และผู้คน ทั้งเพื่อนมากมายที่ฉันมี

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากโรงเรียนบ้านนอกนี้ ฉันเลือกใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงกับกลุ่มเพื่อนที่ค่อนข้างเกเร

ซึ่งอาจเป็นเพราะฉันโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ จึงพยายามมองหาอะไรมาทดแทน เพราะถึงแม้จะมีเพื่อน มีแฟน แต่ลึกๆ ในใจฉันยังคงเหงา และการถูกรายล้อมด้วยผู้คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถเติมเต็มจิตใจได้

ฉันยังรู้สึกกระหายในบางสิ่งบางอย่างที่ยังหาคำตอบอยู่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

ไม่นานนัก คำตอบนั้นก็ปรากฏให้เห็นเมื่อเพื่อนร่วมห้องเรียนชวนฉันไปเดินเที่ยวที่ร้านขายรองเท้าใกล้ๆ ห้างสรรพสินค้าดั้งเดิมของเมืองลำปาง…

ในร้านขายรองเท้าแห่งนั้นเอง ฉันได้พบกับครอบครัวคริสเตียนที่ต้อนรับลูกค้าอย่างดีด้วยรอยยิ้มจริงใจ และบรรยากาศในร้านก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความสุขตอนที่พวกเขาพูดเรื่องราวของพระเจ้าให้ฉันฟัง แน่นอนว่าความคิดแวบแรกของเด็กบ้านนอกอย่างฉันคือ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของฝรั่ง ฉันไม่ใช่ฝรั่ง ฉันเป็นคนไทย ผมดำ ผิวคล้ำ

พอคิดได้อย่างนั้น พระเจ้าก็ดูจะเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน

 

อย่างไรก็ตาม ฉันตัดสินใจไปร่วมนมัสการที่โบสถ์ในวันอาทิตย์ทั้งที่ไม่เคยคิดจะเชื่อในพระเจ้า แต่ก็ไปด้วยเหตุผลเพราะอาหารอร่อยและเพื่อหัดเล่นกีต้าร์จีบหนุ่ม

 

ในช่วงนั้นเอง แม่ของฉันก็เดินทางกลับจากต่างประเทศ และกำลังจะแต่งงานใหม่ การไปโบสถ์จึงถูกลืมไปชั่วคราว

จากอะไรที่เคยสุดเหวี่ยงอยู่แล้วก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก ฉันตั้งต้นใช้ชีวิตกึ่งประชดประชันอย่างเต็มรูปแบบ เพราะในใจรู้สึกกลัวว่าจะสูญเสียความรักที่ควรได้รับจากแม่ให้กับผู้ชายคนอื่น จนผ่านมาสักระยะ การใช้ชีวิตอย่างนี้ก็เกิดผล ฉันมีปัญหากับแฟน การเรียนอยู่ในขั้นย่ำแย่ ที่สำคัญคือสุดท้ายแม่ก็แต่งงานใหม่อยู่ดี ขณะนั้นฉันเข้าใจว่าสิ่งเดียวที่เหลือติดตัวคือชีวิตที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย ทางออกแรกคือเลิกเป็นภาระให้คนอื่นโดยการตายจากโลกนี้ไป ทางที่สองคือกลับไปตั้งหลักสู้ต่อบนโลกอันโหดร้าย

 

แล้วทางเลือกของฉันก็คือ การกลับไปโบสถ์อีกครั้ง กลับไปด้วยเหตุผลที่ต่างจากเดิม เพราะคราวนี้ฉันมีคำถามที่ต้องการคำตอบ

 .

“ฉันเกิดมาทำไม? บนโลกนี้มีใครรักฉันจริงบ้างไหม? ต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?”

คืนนั้น ฉันตั้งคำถามมากมายกับบุคคลที่สมาชิกโบสถ์ต่างเรียกเขาว่า “พระเยซูคริสตเจ้า” อย่างหมดหนทาง ขณะที่ฉันร่ำร้องด้วยความสิ้นหวังก็พลันรู้สึกถึงอ้อมกอดอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ไม่ช้าและไม่สาย ฉันรู้ในทันทีว่าคำตอบมาถึงแล้ว สิ่งที่โหยหามาตลอดชีวิตสิ้นสุดลงภายใต้อ้อมกอดนั้น อาการใจสลายทำให้ฉันต้อนรับชายที่ชื่อ “เยซู” เข้ามาในชีวิต และยอมให้เขารักษาบาดแผลจากความเจ็บปวดที่ผ่านมา

คืนนั้น ฉันหลับไปท่ามกลางน้ำตาแห่งความสุขเพราะพายุที่โหมกระหน่ำได้สงบลงแล้ว มีเพียงคลื่นและลมเอื่อยๆ พัดพาฉันให้ล่องไปเพื่อพบกับพระอาทิตย์ที่สวยงามในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้น เปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล

.

“จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นแก่เจ้า”
(เยเรมีย์ 33:3)

 

______________________________

 

ฉันเริ่มไปโบสถ์ทุกอาทิตย์  เริ่มเข้าร่วมกลุ่มเซลล์  เลิกเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มเดิม เลิกนิสัยเก่าๆ และเอาจริงเอาจังกับการเล่นกีต้าร์มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าวัตถุประสงค์ของมันต่างไปจากเดิม ไม่ใช่เล่นเพื่อจีบใคร แต่เล่นเพื่อมอบให้พระเจ้าที่ฉันรักต่างหาก

 

เหมือนเรื่องจะจบลงด้วยดี แต่การใช้ชีวิตแบบคริสเตียนก็ไม่ได้ราบรื่นไปหมดเสียทีเดียว พายุโหมอีกครั้งเมื่อฉันถูกต่อต้านจากครอบครัวที่นับถือศาสนาอื่น และแม่ก็เป็นร่างทรงที่นับถือภูติผี ทำให้การมาโบสถ์กลายเป็นเรื่องยากจนต้องโกหกเพื่อมานมัสการ

ปิดได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ถูกแม่จับได้ มือคู่หนึ่งบีบลำคอด้วยความโกรธจนฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจ ยังดีที่รอดมาได้เพราะตาเข้ามาช่วยแยกเราออกจากกัน

.

“อย่ากลับมาอีกนะ!”

ฉันกลัว แต่ก็กล้าที่จะเดินฝ่าเสียงตะโกนไล่ออกไปโบสถ์ทั้งน้ำตา

จำไม่ได้แล้วว่านานแค่ไหน และผ่านมาได้อย่างไร สุดท้ายฉันก็ได้กลับบ้าน

แม้จะมีเสียงต่อว่าเป็นพักๆ ฉันก็ยังยึดมั่นในจุดยืนนี้ ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวของฉันเองเท่านั้น แต่ทำเพื่อต้องการเป็นจุดเปลี่ยนให้ครอบครัวได้พบกับพระเจ้า ให้พวกเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวฉันก่อนจะเปิดใจมองเห็นพระเจ้าในตัวฉัน

ถึงปัจจุบันพวกเขายังไม่เชื่อ แต่การต่อต้านก็ลดลงเรื่อยๆ

ฉันยังไม่หยุดที่จะอธิษฐานให้พวกเขายอมจำนนต่อพระพักตร์ของพระเจ้า และอยากหนุนใจคนอื่นให้ทำอย่างนี้ด้วย อย่าเพิ่งท้อหรือหมดหวังกับผู้หลงหาย อย่าถอดใจกับจุดยืนเมื่อโดนต่อว่า แต่จงพร้อมในการต่อสู้กับปัญหาด้วยการเดินไปพร้อมกับพระเจ้า เหมือนนกอินทรีย์ที่ไม่หวาดกลัวต่อพายุและเก็บลมพายุเหล่านั้นไว้ใต้ปีกเพื่อให้บินได้สูงขึ้น

 

______________________________

 

ฉันมักจะยิ้มและถามพระเจ้าตลอดการเดินทางใน 14 ปี ที่ผ่านมาว่า

“ฉันเป็นใครกันนะ? พระเจ้าจึงทรงตามหา อวยพร และอยู่ข้างๆ เสมอไม่เคยทอดทิ้ง”

คำตอบของพระองค์ก็คือ

“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า (ยอห์น 1:12) ฉันเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ให้เป็นคนบริสุทธิ์

และเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก (โคโลสี 3:12, 1เธสะโลนิกา 1:4)”


#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป ( <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://www.choojaiproject.org/choojai-forward/ )


Previous Next

  • Illustrator:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน
  • Editor:
  • Emma C.
  • เด็กสาวหน้านิ่งจากเมืองกรุง มุ่งหน้าใช้ชีวิตในเมืองเหนือ พระเจ้านำให้ได้มาทำงานกับชูใจ เธอผู้นี้มีความสามารถหลากหลาย ทั้งวาดภาพ เขียน เรียบเรียง และเอาขามาพาดคอระหว่างนั่งทำงาน เธออินกับการสะกดคำให้ถูกต้องตามราชบันฑิตฯ และมีรสนิยมวินเทจผิดจากความเป็นเจนวาย เป็นหนึ่งใน Avenger ทีมบก.ที่จะมาช่วยชูใจผู้อื่นกัน