EP. 39

สู้ด้วย ‘ความหวัง’ ที่ดังเคิร์ก [ชูโรง]


ชื่อหนัง : Dunkirk (2017)
ประเภท : แอ็คชั่น / ดราม่า / ประวัติศาสตร์
*บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 10 นาที และมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน*


.

ตัวๆ เค้าอยากดูหนังเรื่องนี้” 

 

 

ตูมๆ ตามๆๆ ปังๆๆๆๆๆ ทึ่กๆๆๆ ตูมมมม!!! 

 

นี่ฉันมาดูหนังเพื่อผ่อนคลายหรือมาออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงคะเนี่ย!?

 

เปิดฉากมาคนดูก็ถูกโยนเข้าไปในสงครามพร้อมกับทหารที่หนีตายรออยู่ที่ริมชายทะเลเป็นแสน หนังไม่มีการเกริ่นนำให้เยิ่นเย้อ เริ่มต้นด้วยการเปิดฉากบนบก บนทะเล และบนอากาศที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์เดียวกันแต่ระยะเวลาไม่เท่ากันและเล่าเรื่องแบบไม่ปะติดปะต่อ สามีนั่งกระซิบฝ่าเสียงปืนให้ฟังอยู่ข้างหูว่า “ดูไปๆ เดี๋ยวจะเข้าใจเอง” ป้าพยักหน้าในขณะเอามือปิดหูพร้อมนั่งตัวเกร็งลุ้นไปกับหนังตลอดชั่วโมงครึ่ง

 

 

Dunkirk (อ่านว่า ดังเคิร์ก) เป็นชายหาดแห่งหนึ่งทางเหนือของฝรั่งเศส เหตุการณ์เกิดในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2

กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรถูกเยอรมันจู่โจมสายฟ้าแลบจนต้องใช้ท่าไม้ตายของการศึกทุกยุค นั่นคือ หนี’ แต่เป็นการหนีครั้งมหาชนที่ทุลักทุเลมาก เพราะถูกทหารเยอรมันล้อมไว้หมดทุกทาง เหลือรอดทางเดียวคือทางทะเล ซึ่งชายหาดดังเคิร์กเป็นหาดน้ำตื่น จะขึ้นเรือรบขนาดใหญ่ก็ต้องเข้าคิวตรงสะพานเทียบเรือเล็กๆ ที่มีเพียงอันเดียว แถมเยอรมันยังเอาเครื่องบินมาวนปล่อยระเบิดเป็นระยะๆ ทหารที่อยู่เบื้องล่างบนชายหาดทำได้เพียง ‘หมอบ’ เท่านั้น… อ้ออ๋อย เอ็นดู!

 

 

ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรติดอยู่ที่ดังเคิร์ก 400,000 คน ความยากในการอพยพทหารจำนวนมากขนาดนั้น บวกกับความกดดันจากเยอรมันที่ตามทิ้งระเบิดทั้งจากอากาศ หรือยิงขีปนาวุธใต้น้ำเพื่อทำลายเรือก็ตาม ทำให้กว่าการอพยพครั้งนี้กว่าจะสำเร็จใช้เวลาถึง 9 วัน มีทหารเหลือรอดกลับบ้านไปได้ 330,000 นาย จนคนกล่าวขานว่านี่เป็น The Miracle of Dunkirk หรือ ปาฏิหาริย์แห่งดังเคิร์ก! ป้าดูจบป้าก็ว่านี่ปาฏิหาริย์!

 

ความหวังในความกลัว 

ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูเหมือนอยู่กับทหารในแต่ละสถานที่ ไม่ว่าจะในเรือ บนชายหาด ลอยคอไปบนทะเล หรือในห้องนักบิน ทำให้เราได้ตามติดการเอาชีวิตรอดของทหารแบบหายใจไม่ทั่วท้อง ในหนังเราเห็นภาพพลทหารสองนาย (ที่สมมติขึ้นมาใช้เป็นตัวดำเนินเรื่อง) ตั้งแต่วิ่งฝ่ากระสุนทหารเยอรมัน พยายามฝ่าฟันลัดคิวทหารเป็นแสนที่ยืนรอเรือมารับ จนเอาตัวเองขึ้นไปอยู่บนเรือได้ นึกว่ารอดตายแล้วแต่สุดท้ายเรือโดนตอปิโดใต้นำ้ยิงซ้ำจนล่ม หนีตายออกจากเรือมาลอยคอบนทะเล จนสุดท้ายว่ายน้ำกลับมาอยู่ที่ชายหาดเหมือนเดิม

 

วินาทีที่พลทหารกำลังนอนให้คลื่นซัดไม่รู้จะเอาไงต่อดีกับชีวิต เบื้องหน้ามีทหารกลุ่มหนึ่งพยายามเอาเรือพายออกแต่ก็โดนคลื่นซัดจนล่ม และมีทหารอีกคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็เดินลงทะเลว่ายน้ำออกไปอย่างบ้าบิ่น เป็นสัญลักษณ์ว่ายอมตายในทะเลดีกว่าอยู่รอความตายบนฝั่ง ช่างเป็นฉากที่สะเทือนอารมณ์มาก…

 

 

ดูไปก็หดหู่และเห็นภาพของการเอาชีวิตรอดว่า สิ่งที่จะขับเคลื่อนให้มนุษย์เอาตัวรอดได้มีอยู่แค่สองสิ่งคือ ความกลัวและความหวัง กลัวตาย กลัวทรมาน กลัวถูกจับ และหวังที่จะรอด หวังที่จะได้กลับบ้าน สองขั้วของความรู้สึกนี้ทำให้ป้าคิดถึงภาพของ พระคัมภีร์สดุดี 23:4,6

 

“แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช

ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ

เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์

คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์…

แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป

ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า

และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์” – [กษัตริย์ดาวิด]

 

ดาวิดเองก็คงเคยตกอยู่ในสถานการณ์ของความกลัวและความหวังแบบนี้มาก่อน ถึงบรรยายความรู้สึกอันน่ากลัวแต่เปี่ยมไปด้วยความหวังแบบนี้ได้

ไม่มีทางที่เราจะสามารถเข้าใจว่าความหวังวมันมีค่าได้ขนาดไหน ถ้าเราไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความพยายามที่ไร้ทางออกมาก่อน มีใครในขณะนี้ที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังหาทางออกไม่เจอมั้ยคะแล้วความมั่นใจในพระเจ้าของคุณ ทำให้คุณรู้สึกมีความหวังในการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกบ้างรึเปล่าคุณรู้จักพระเจ้าดี จนมั่นใจในการทรงสถิตอยู่ด้วยแม้ในเวลาที่หมดหนทางรึเปล่า?

 

การมีความหวังทะลุความกลัวออกมาได้ คือการที่เรามั่นใจมากจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย จะไม่ทอดทิ้ง จะตามติดและเล้าโลมใจไปด้วย และการมั่นใจได้มากขนาดนั้นเพราะดาวิดรู้จักพระเจ้าดีขนาดนั้น

 

__________________________

 

เส้นเวลาที่ไม่ตรงกัน ความหวังที่มา…. อย่างไม่พร้อมกัน

 

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ลำดับการเล่าเรื่อง ลุงโนแลนตั้งใจเล่าเรื่องของเวลาที่ไม่เท่ากันแต่เล่าไปพร้อมๆ กัน

 

► บนชายฝั่ง / หนึ่งอาทิตย์ / เพื่อเอาชีวิตรอด

เล่าเหตุการณ์หนึ่งอาทิตย์ บนชายหาดที่สะพานเทียบเรือ นำโดยพลทหาร 3 คนที่พยายามทุกวิถีทางให้ออกไปจากชายฝั่งให้ได้ การเอาตัวรอดพาตัวเองกลับไปบ้านให้ได้ แค่นั้นก็ถือว่าเป็นชัยชนะแล้ว

► ทางทะเล / หนึ่งวัน / เพื่อช่วยทหาร

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่หนังเล่าไปพร้อมกันคือ หนึ่งวันก่อนหน้าบนเรือยอร์ชของพลเรือนอังกฤษกับลูกชาย ถูกเรียกพร้อมกับเรือประมงลำอื่นๆ ของพลเรือนอังกฤษกว่า 800 ลำ เพื่อไปช่วยทหารอังกฤษที่ดังเคิร์ก

► บนอากาศ / หนึ่งชั่วโมง / เพื่อคุ้มกัน

ในขณะเดียวกันหนังก็เล่าถึงเครื่องบินขับไล่ทางอากาศ 3 ลำ โดยนักบิน 3 คน ที่บินปฏิบัติภารกิจหนึ่งชั่วโมง คอยคุ้มกันทางอากาศ และสอยเครื่องบินรบเยอรมันก่อนที่จะทิ้งระเบิดจมเรือและฆ่าทหารร่วมชาติของเขา

 

สุดท้ายเส้นเวลามาบรรจบกันที่ดังเคิร์ก

 

เวลาเราอธิษฐานกับพระเจ้า เราไม่มีทางรู้ว่าคำตอบจะมาเมื่อไหร่ หรือมาในรูปแบบใด เรารู้เพียงแค่กำลังมา เราได้แต่รอคอยคำตอบไม่ต่างจากทหารที่ติดอยู่บนชายฝั่งรอการช่วยเหลือ

 

มองอีกทางหนึ่ง พระเจ้าอาจเตรียมชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง ให้ได้เรียนรู้เรื่องราวบางอย่างมาก่อนหน้านั้น เพื่อเป็นคำตอบให้กับเราในเวลาที่เหมาะสม เวลาที่พระเจ้าเตรียมไม่ได้เท่ากันสำหรับแต่ละคน สิ่งที่เราทำได้คือ หวังใจและรอคอย การช่วยเหลือของพระเจ้าที่จะมาในรูปแบบที่เราไม่รู้ จากคนที่เราไม่รู้ ในเวลาที่เราไม่รู้

 

…สุดท้าย ต่างคน ต่างเวลา แต่มาบรรจบกันที่คำตอบของคำอธิษฐานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้…

 

 

เมื่อมีหวัง เมื่อรวมใจกัน พลังจึงมา

 

สุดท้าย การอพยพทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์โลก สำเร็จลงได้ด้วยเรือเล็กของพลเรือนกว่า 800 ลำ โดยสามารถอพยพทหารได้ทั้งหมด 338,000 กว่าคน จากวันแรกที่ช่วยได้แค่เจ็ดพันกว่าคนเท่านั้น และสิ่งที่หนังไม่ได้กล่าว แต่ป้าไปตามอ่านในเน็ตมาหลังจากดูหนังจบก็คือ กษัตริย์จอร์ชที่ 6 ของอังกฤษได้ประกาศให้วันที่ 26 พฤษภาคม 1940 เป็นวันอธิษฐานแห่งชาติ และเรียกร้องให้ประชาชนอังกฤษทุกคนอธิษฐานเผื่อทหารที่ดังเคิร์ก มีการกล่าวกันว่า หลังจากวันนั้น เกิดพายุรุนแรงมากในแถบดังเคิร์กจนทำให้เครื่องบินเยอรมันตกไปหลายลำ แต่หลังจากนั้นคลื่นลมก็สงบอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นในช่องแคบนั้นบ่อยนัก ซึ่งช่วยให้การอพยพเกิดขึ้นอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

 

 

“We shall fight on the beaches,
เราจะต่อสู้บนหาดทราย
we shall fight on the landing grounds,
เราจะสู้บนพื้นดิน
we shall fight in the fields and in the streets,
เราจะสู้บนทุ่งนา บนท้องถนน
we shall fight in the hills;
เราจะสู้บนภูเขา
we shall never surrender,”
เราจะไม่มีวันยอมแพ้

 

 

หนังจบด้วยสุนทรพจน์นี้ของวินสตัน เชอร์ชิล ซึ่งเป็นประโยคที่จดจำมากที่สุดประโยคหนึ่งจากสงคราม หลังจากเหตุการณ์ที่ดังเคิร์ก จึงเป็นที่มาของคำว่า “Dunkirk Spirit” (สปิริตแห่งดังเคิร์ก) หมายถึง จิตวิญญาณแห่งการไม่ยอมแพ้ ซึ่งกว่าสงครามจะยุติ กว่าฝ่ายอังกฤษและสัมพันธมิตรจะชนะสงคราม ก็ใช้เวลาหลังจากนั้นอีกถึง 4 ปี

 

อ้อ ตอนดูตัวอย่างหนังมันถึงขึ้นว่า “Hope is a weapon ความหวังคืออาวุธ” เป็นอย่างนี้นี่เอง!

 

 

 

ด้วยรักและความหวัง

 

 


ที่มาข้อมูล

http://www.kwanmanie.com/dunkirk-review/

https://en.wikipedia.org/wiki/Dunkirk_evacuation

http://erlc.com/resource-library/articles/5-facts-about-the-miracle-of-dunkirk


Previous Next

  • Author:
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง
  • Illustrator:
  • Jostar
  • พี่ชายผู้อบอุ่นละมุนละไม เวลาใส่หมวกกันน๊อคแล้วนั่ลล๊าคดั่ง Pororo อดีตมาสเซอร์วิชาสอนศิลปะ ปัจจุบันถวายตัวรับใช้ที่โบสถ์สไตล์ลอฟๆ ชอบขีดๆ เขียนๆ วาดๆ
  • Editor:
  • Perapat T.
  • Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)