EP. 68

ความรักทำให้คนตาบอดจริงไหม และคนในพระคัมภีร์ตาบอดได้แค่ไหนกัน?


เค้าว่ากันว่า…เวลามีความรักโลกทั้งใบก็เหมือนถูกเชื่อมด้วยสีลูกอม หันไปทางไหนก็มีแต่ความสุข นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองและนักประสาทวิทยาพยายามอธิบายกลไกของความรักและพบว่า เวลาเราตกหลุมรัก (Falling in love) สมองจะมีการหลั่งสารเคมีบางอย่าง จึงไม่แปลกที่จะเรียกว่าคนสองคนมีเคมี (Chemistry) ตรงกันหากคนสองคนนั้นต่างมีปฏิกิริยาทางเคมีต่อกันและกันเพราะว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ

 

แล้วพระคัมภีร์ว่ายังไง?

 

พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า” – (ปฐมกาล 3:16)

 

จากปฐมกาลจะเห็นว่าความต้องการที่จะผูกพันกันอย่างลึกซึ้งของคนสองคนนั้นถูกใส่เอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม และพระเจ้าปรารถนาจะสร้างมนุษย์ให้มีความผูกพันเป็นเนื้อเดียว “ความรู้สึกรัก” จึงเป็นเหมือนพรและเพิ่มเติมความวุ่นวายเข้าไปนิดหน่อยทันทีมนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาปเพราะการไม่เชื่อฟัง

 

แล้วทำไมความรักจึงทำให้คนตาบอด

สารเคมีที่เกิดขึ้นในเวลาที่เราหลงรักและใกล้ชิดกัน ได้แก่ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศชายและหญิง) โดปามีน (ฮอร์โมนความสุข) เซโรโทนิน(ฮอร์โมนแห่งความคิดถึง) ออกซีโทซิน (ฮอร์โมนความผูกพัน)

 

โดปามีน  เป็นสารเคมีที่ทำให้เราเกิดความสุข ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันที่หลั่งออกมาเมื่อคนเรา ออกกำลังกาย ดื่มเหล้า เล่น ROV หรือ ทำกิจกรรมโปรด เมื่อหลั่งออกมานานๆ สมองอาจจะเสพติดความสุขและเกิดอาการกระสับกระส่ายเมื่อเราไม่ได้ทำกิจกรรมนั้นๆ จนเกิดความกระวนกระวายใจ อยากเจอหน้า อยากใกล้ชิด

 

เซโรโทนิน เป็นสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการเสพติดเช่นเดียวกัน พบมากในระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับ ความอยากอาหาร การเผาผลาญ และเกี่ยวข้องกับอารมณ์ เวลาตกหลุมรักเราจึงรู้สึกอิ่มเอม นอนหลับฝันดี และอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จนคิดถึงแต่คนที่ทำให้มีความสุข  ในทางตรงข้ามหากร่างกายมีเซโรโทนินในปริมาณน้อยส่งผลให้เกิดความก้าวร้าว เฉยชาต่อความรัก หรือเกิดภาวะซึมเศร้าได้

 

ออกซีโทนซิน เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความผูกพัน ถูกสร้างขึ้นมากเมื่อคู่รักมีความใกล้ชิดกัน รวมทั้งการถึงจุดสุดยอดทางเพศ และเกิดขึ้นมากเมื่อคุณแม่คลอดลูก เป็นฮอร์โมนแห่งสายสัมพันธ์ ทำให้ภรรยาผูกพันมากกับสามี และส่งผลต่อคุณแม่ที่จะมีความหวงแหนลูกของตน

 

________________

 

จะเห็นว่ากลไกเหล่านี้เป็นระบบทางธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายและส่งผลต่อความต้องการของมนุษย์ ไม่ว่าจะเรียกว่าความรู้สึกนั้นเกิดจากสมองสั่งให้ทำหรือจะเรียกมันว่าหัวใจสั่งมาก็ตาม กระบวนการเหล่านี้อยู่ภายใต้เนื้อหนังที่เป็นเพียงแต่ดิน

 

ความต้องการตามธรรมชาติเป็นเพียงตัวขับเคลื่อนอารมณ์ความรู้สึกไม่ได้ควบคุมการตัดสินใจของคนเราอย่าง 100% เพราะคนเรายังมีจิตสำนึกที่เกี่ยวข้องและควบคุมสัญชาตญาณตามธรรมชาติ มีมโนธรรม และ จริยธรรม ที่เรียกรวมๆ ว่า Super ego

 

ความรู้สึกรักและความต้องการของหัวใจไม่ใช่เรื่องผิดแต่มันจะผิดก็ต่อเมื่อขาดการยับยั้งชั่งใจ เมื่อความต้องการฝ่ายร่างกายต่อสู้กับมโนธรรมแล้วจึงเกิดเป็นเรื่องเป็นราวเช่นบุคคลตัวอย่างมากมาย

 

รักแรกพบแท้จริงเป็นอย่างไร?

 

“เธอได้มัดหัวใจของฉันไว้ด้วยการชายตาเพียงแวบเดียว” – เพลงซาโลมอน 4:9

 

แม้ว่าบทเพลงซาโลมอนจะถูกเขียนขึ้นโดยกษัตริย์คนลูก แต่เรื่องทำนองเห็นเธอแว๊บๆ แล้วใจแปร๊บๆ คงยกให้กษัตริย์ดาวิดคนพ่อ อาการเหงื่อออกที่มือ หัวใจเต้นแรงหน้าแดงทุกที นั้นเกิดจากสารเคมีที่หลั่งออกมาเมื่อเจอกับตัวกระตุ้นซึ่งแต่ละคนก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไปตาม การเรียนรู้ ประสบการณ์ และภูมิหลัง หรือเรียกว่า “สเป๊ก”  ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงความงดงามภายนอกแต่รวมถึงลักษณะนิสัย และสิ่งที่อยู่ภายในด้วย

 

ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรู้สึกดีกับใครที่ตรงใจเมื่อแรกเห็น ในตอนที่โบอาสพบนางรูธครั้งแรก แม้พระคัมภีร์จะไม่ได้บอกว่าท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อได้เห็นเธอเดินมาเก็บรวงข้าวที่ตกในทุ่งข้าวของตน แต่การที่ท่านเข้ามาไต่ถามและกำชับคนงานให้ดูแลเธอเป็นพิเศษนั้นก็ทำให้เราสังเกตได้ว่าเกิดความรู้สึกอะไรในใจของท่านบ้าง ส่วนการที่ดาวิดเรียกคนรับใช้มาไต่ถามว่าผู้หญิงที่อาบน้ำอยู่ริมน้ำนั้นเป็นใครก็ทำให้เรารู้ได้เช่นกันว่าท่านรู้สึกอะไรเหมือนกัน

 

ความรักทำให้ตาบอดและมองไม่เห็นความจริง?

 

“เพราะความรักนั้นรุนแรงอย่างความตาย ความหวงแหนเหมือนแดนคนตาย และเปลวเพลิงของความรักนั้นรุนแรงเหมือนประกายไฟ” – (เพลงซาโลมอน 8 : 6)

 

แต่การพยายามใกล้ชิดสนิทสนมของหญิงชายทั้งสองคนนั้นแตกต่างกัน เพราะดาวิดเลือกที่จะผ่าฝืนมโนธรรมและจริยธรรมเพื่อให้ได้อยู่ใกล้นางบัทเชบา โดยการสั่งให้ทหารส่งอุริอาสามีของนางบัทเชบาไปตายในสนามรบ ในขณะที่โบอาสพยายามทำตามประเพณีในการรับนางรูธมาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามมาตรฐานทางสังคมของในสมัยนั้น (อ่านเพิ่มเติมได้ใน 2 ซามูเอล 11, นางรูธ 2 )

 

ในหนังสือซามูเอล เจ้าชายอัมโนนทรงหลงรักน้องสาวต่างมารดาอย่างเจ้าหญิงทามาร์จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่านหลอกให้กษัตริย์ดาวิดอนุญาติให้เจ้าหญิงเข้าไปเยี่ยมโดยการทำอาหารไปป้อนในห้องบรรทม เรื่องราวจบลงที่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในพระคัมภีร์ (2 ซามูเอล : 13 )

 

แท้จริงแล้วความรู้สึกปรารถนา อยากครอบครอง นั้นไม่ใช่ทั้งหมดของความรัก

ความรักเป็นมากกว่าแค่ความรู้สึก หรือสารเคมีในสมอง นักวิทยาศาสตร์พบว่าในที่สุดความรู้สึกวูบวาบเมื่อถูกกระตุ้นด้วยคนรักจะค่อยๆ ลดลงและหายไปในเวลาไม่เกิน 2 ปี  คงเหลือไว้แต่ความรู้สึกผูกพันหรือความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

 

ดังนั้น…

  • ถ้าเรารักกันด้วยเพียงอารมณ์ความรู้สึก เราก็ไม่อาจรักคนที่ไม่น่ารักได้
  • และความรักก็ไม่ใช่เรื่องของเหตุผล เพราะถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถรักคนที่ไม่น่ารักได้เช่นเดียวกัน
  • แต่ความรักแท้จริงนั้น เป็นเรื่องของ…เจตจำนงและการตัดสินใจที่จะรัก เป็นความตั้งใจและคำมั่นสัญญาว่าจะรัก

พระเจ้าตรัสว่า
“…เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” เยเรมีย์ 31:3

 

พระเจ้าสร้างเราและพระองค์ทรงรักเรา แม้เราจะไม่น่ารัก ทรงรักเราแม้หลายครั้งเราจะทำตัวเหมือนเป็นศัตรูของพระองค์ แม้เราจะหันหลังให้พระองค์ หลงผิด หรือหลายครั้งที่เราไม่เชื่อฟัง

 

อ่านดูเผินๆ แล้วความรักในอุดมคติขนาดนี้คงไม่มีมนุษย์คนไหนจะทำได้ แต่มี… เพราะพระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของความรักแท้จริง ทรงรักคนที่ไม่น่ารัก รักคนที่ปฏิเสธพระองค์ และทำร้ายพระองค์

 

อาจดูเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะไปถึงมาตฐานความรักที่สูงส่งระดับพระเจ้ารัก ถึงอย่างนั้นพระองค์ก็ยังบอกให้เรา รัก…รักแม้คนที่ไม่รู้จัก รักแม้คนที่ไม่น่ารัก รักแม้กระทั่งศัตรู ซึ่งนั่นก็แสดงว่าพระองค์ทรงมั่นใจว่าเราทำได้ และเราทุกคนสามารถรักเป็น ไม่ใช่แค่รักด้วยความรู้สึก ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นด้วยการกระทำและความจริง (1 ยอห์น 3: 18)

 

“เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลายคือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” – (ยอห์น 13:34)

 

สุดท้ายนี้…

คำว่า “จงรัก” เมื่อใช้กับผู้อื่น จะเป็นคำสั่งหรือคำขอร้อง
แต่เมื่อใช้กับตัวเอง คำว่า “จงรัก” จะเป็นคำกิริยาที่หมายความว่า 
“ผูกใจรัก”

 

 

ชูใจ

“ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอดจนมองไม่เห็นความจริง
แต่คนตา(ใจ)บอดต่างหากที่มองให้เห็นความจริงของความรัก”

 

#ด้วยรักและชูใจ

 

 


 

 


Previous Next

  • Author:
  • Blogger ผู้มากความสามารถในงานเขียน เป็นคริสเตียนที่เรียนสังคมวิทยา ฯ มาอย่างโชกโชน สเตตัสปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระ และ รับใช้พระเจ้าไปด้วย :)
  • Illustrator:
  • Rhoda Phu
  • กอง บก. น้องเล็กคนใหม่คนชูใจ แม้เรียนมาด้านออกแบบจิลเวอรี่แต่ก็ยังมีใจรักการออกแบบสิ่งทอ บางวันสอนเสริมศิลปะ บางวันก็ตามหาความฝัน
  • Editor:
  • Jick
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง