ผมเคยได้ยินบางคนที่รับเชื่อบอกว่าชีวิตเราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

พอได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังจะเป็นพยานไม่ตื่นเต้นเร้าใจเลย

 

จนกระทั่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วการมีพระเจ้าร่วมด้วยในเรื่องอะไรก็ตามที่ดูธรรมดามากๆ ของเรา ล้วนเป็นคำพยานที่มีความสำคัญ และก็ไม่มีเรื่องธรรมดาเรื่องไหนเลยที่ไม่พิเศษ

 

_______________

 

ชีวิตที่เกิดในครอบครัวคริสเตียนของผมอาจเรียกได้ว่ามีความรู้เรื่องพระเจ้ามากประมาณนึง ผมรู้ว่าพระเจ้ามีจริงและเชื่ออย่างนั้นแน่นอนมาตั้งแต่เด็ก แต่การได้รู้จักพระเจ้าจริงๆ ที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งจะเล่าเป็นคำพยานดังต่อไปนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วง ม.6 แล้วก็ไม่ใช่เพียงเรื่องเดียวที่เกิดขึ้น แต่เป็นสองเรื่องที่มีลักษณะลำดับการณ์คล้ายกัน คือ

 

พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน

และหลังจากตอบแล้วพระเจ้าก็ย้อนเตือนคำอธิษฐานนั้น

 

เรื่องแรก:

ผมกำลังกังวลเรื่องเรียนต่อ เพราะจนป่านนี้แล้วตัวเองยังไม่รู้เลยว่าอยากเรียนอะไร เลยอธิษฐานบอกพระเจ้า

 

สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกวิจิตรศิลป์ ด้วยความที่มันน่าจะใกล้เคียงกับความชอบของผมที่สุด และคำอธิษฐานในตอนนั้นคือ

 

ถ้าสอบติด ผมจะขอบคุณพระเจ้าด้วยการตั้งใจเรียน”

 

แล้วผมก็ติดโควต้าโดยที่ไม่รู้คะแนนของตัวเอง นับเป็นเรื่องแรกที่ขอบคุณพระเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่พอเรียนไปไม่นาน ปีแรกก็เกือบติด F เพราะไม่ตั้งใจ จังหวะที่เห็นคะแนนก็เกิดนึกถึงคำอธิษฐานขึ้นมาได้

 

ถ้าสอบติด ผมจะขอบคุณพระเจ้าด้วยการตั้งใจเรียน”

เหมือนกับพระเจ้ากำลังย้อนถามผมตอนนี้ว่า

“จะขอบคุณเราด้วยการตั้งใจเรียนไม่ใช่เหรอ?”

 

และด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้นในใจ เลยทำให้ผมอธิษฐานกลับไปอีกครั้ง

“ผมจะไม่ทำเกรดตกไปกว่านี้”

 

แน่นอนว่าคะแนนเดิมมันเกือบ F ดังนั้นตราบใดที่ไม่ F ก็คือเกรดไม่ตก…

ผมรอดมาได้ด้วยคะแนนที่จัดอยู่ในเกณฑ์กลางๆ นึกถึงคำมั่นสัญญาที่อธิษฐานกับพระเจ้าแล้วก็เรียนจบมาแบบตัวเลขไม่น่าเกลียด แม้จะไม่ถึงระดับเกียรตินิยม แต่แค่ผ่านมาได้ก็ดีใจมากแล้ว

 

เรื่องที่สอง:

 

ย้อนไปก่อนช่วงเกือบติด F… ผมที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยมาได้ปีแรกบอกกับพระเจ้าว่า

“ถ้ายังเรียนไม่จบ

ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรัก และจะไม่ไปคบกับใคร”

 

อธิษฐานไปอย่างนั้นเพราะจำได้ว่ารักครั้งแรกตอน ม.6 ที่เคยล้มเหลวทำให้ตัวเองเสียใจจนไม่เป็นอันเรียน ตอนนี้เลยตั้งใจตัดปัญหาโดยการไม่เสี่ยงมีความรักจนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย

 

จนกระทั่งขึ้น ปี 3 ผมเกิดไปชอบรุ่นพี่ที่โบสถ์เดียวกัน และผลที่เกิดขึ้นภายในสองปีก่อนเรียนจบคือสารภาพรักไปสองครั้ง โดนปฏิเสธทั้งสองครั้ง

 

แต่ตัดภาพมาตอนเรียนจบปี 4 เรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นเมื่อสุดท้ายแล้ว ผมก็ได้คบกับพี่คนนั้น

 

เหมือนกับพระเจ้าได้ย้อนเตือนให้นึกถึงคำอธิษฐานตอนปี 1 ที่ผมเคยลืมไป

“ถ้ายังเรียนไม่จบ

ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความรัก และจะไม่ไปคบกับใคร”

 

เหตุการณ์นี้ทำให้ผมรู้ว่าพระเจ้ารู้จักผมดีเหลือเกิน พระองค์จึงมอบสิ่งที่ผมต้องการให้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

 

“พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน”

(ปัญญาจารย์ 3:11)

 

ความขมขื่นจากการโดนปฏิเสธมาตลอดสองปีทำให้ผมรู้สึกขอบคุณ แล้วกลับมาย้อนคิดว่าถ้าได้คบกันตั้งแต่สองปีก่อน บางทีตอนนี้ผมอาจมีการศึกษา ปีที่ 5 หรือ 6 ตามมาก็ได้

 

_______________

 

สิ่งที่ผมเป็นพยานได้คือ ทุกคำอธิษฐานพระเจ้าตอบ แต่แน่นอนว่าพระองค์ตอบในเวลาที่ต่างกัน และแต่ละคนก็มีเวลาเหมาะเป็นของตัวเอง บางครั้งเร็ว บางครั้งช้า บางครั้งนานจนตัวเราเองลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยอธิษฐาน แต่เมื่อพระเจ้าตอบ ไม่ว่าจะเป็นปี ห้าปี หรือสิบปี เราจะนึกถึงคำที่เคยอธิษฐานนั้นขึ้นมาได้ และตัวเราจะกลายเป็นคำพยานที่มีชีวิต

 

ป.ล. ทุกวันนี้ พี่คนที่ได้คบกันหลังเรียนจบก็กลายเป็นพยานในอีกคำพยานของผม เพราะผ่านมาเกือบสิบปี ในที่สุดพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานเรื่องแต่งงานของเราแล้วครับ

 

“สิ่งหนึ่งที่เป็นพยานได้คือพระเจ้าตอบทุกคำอธิษฐาน

เพียงแต่ตอบในเวลาที่ต่างกัน”


#ชูใจชวนแชร์ เพราะเรารู้ว่าทุกคนมีเรื่องเล่า… ชูใจจึงชวนมา ‘ส่งต่อ’ เรื่องราวที่พระเจ้าทรงทำในชีวิตของคุณเพื่อ ‘ชูใจ’ คนอื่นต่อไป <3 อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://www.choojaiproject.org/choojai-forward


Previous Next