EP.1

[ชูใจหน้าคูหา จับตาการเลือกตั้งปี 62!] – ตอนที่ 1 มันก็แค่ Marketing ยังไงเราก็ต้องอยู่ร่วมกัน


 

คำถามยอดฮิตในช่วงที่ผ่านมาคือ “จะเลือกใครดี?”

 

นั่นสิ คำถามนี้ตอบยาก ไม่ใช่เพราะไม่มีคำตอบในใจ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อให้คำตอบไปอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยายังไงต่างหาก จะถูกจัดตำแหน่งให้เป็นพวกเดียวกัน หรือคนละฝั่ง ดีที่วันนั้นน้องอีกคนโพล่งตอบแทนผม….

 

น้องจิ๊ก : (นามสมมติ) “ น้องว่า นักการเมืองก็เหมือนผู้ชายแหละค่ะ ”

พี่พี : (นามสมมติ) “ ทำไมล่ะ ”

น้องจิ๊ก : “ แรกๆ ก็ดีหมด ออกโปรฯ ให้เวลาเอาใจใส่เข้ามาอ้อนมาง้อ พอจบเลือกตั้งแล้วก็ค่อยๆ หายไป ความรักมันลดลงจริงๆ ”

พี่พี : อืม น้องเปรียบเทียบได้ดี

น้องจิ๊ก : “ ตอนก่อนเข้าไปก็สัญญาว่าจะทำนู่นนี่นั่นให้ แต่พอเข้าไปก็เอาเงินไปเปย์กับอะไรก็ไม่รู้ ตรวจสอบไม่ได้ สุดท้ายก็ไปซื้อของเล่นบ้าง ไปเปย์คนอื่นบ้าง…. ”

พี่พี : “ เดี๋ยวๆ นี่นักการเมืองหรือชีวิตน้องเอง ”

น้องจิ๊ก : “ ผู้ชายมันก็เลวเหมือนกันหมดแหละค่าาาาา ”

พี่พี : เปรียบเทียบได้ดี แต่ปัญหาความรักนี่ น้องควรปรึกษาพี่ เจ้เจ้ Love coach นะ

มีน้องอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ ผมเลยพยายามเปลี่ยนประเด็น

พี่พี : “ แล้วก้องว่าไง ผู้ชายไม่ได้แย่ทุกคนใช่ไหม ”

ก้อง : “ ไม่รู้ครับพี่ ผมไม่สนผู้ชาย ”

พี่พี : “……”

 

บทสนทนาเรื่องนักการเมืองกับการเลือกตั้งฉบับย่อก็จบลงแบบเอวัง

 

……..

 

หลังจากที่พี่ๆ ชูใจแอบเก็บซุ่มมานาน จนน้องๆ บางคนไปเลือกล่วงหน้าแล้ว ส่วนที่เหลือก็คงมีที่อยากเลือกในใจเรียบร้อย ทีมชูใจจึงพร้อมจะปล่อยบทความนี้ออกมา ไม่ใช่เพื่อขอให้น้องเปลี่ยนใจไปเลือกใคร แต่เปลี่ยนวิธีมองคนที่ไม่ได้เลือกเหมือนเราเสียมากกว่า!

 

การตลาดมีหน้าที่ทำให้คนอยากซื้อของของเรา รวมไปถึงการทำยังไงก็ได้ไม่ให้เราไปซื้อของคนอื่น

 

 

I’m a Mac, I’m a PC เป็นโฆษณาดังในอเมริกาเมื่อสิบปีก่อน ที่จับเอาเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ใส่เสื้อยืดมาเป็นตัวแทนเครื่อง Mac ของ Apple และ ให้ลุงอ้วนๆ ใส่สูทแทนเครื่อง​ PC ของ Microsoft แน่นอนว่าเป็นโฆษณาที่แอปเปิ้ลเอาไว้แซะไมโครซอฟท์อย่างเจ็บแสบ นานวันเข้ามันไม่ใช่แค่มาขิงใส่กัน แต่พัฒนาจนมีศัพท์เรียกกันว่า “สาวก” “บูชา” “ศาสดา” นี่แค่กับเครื่องคอมพิวเตอร์นะ! ถึงกับต้องมีศาสดา ส่วนเนื้อหาที่เย้ยกันแรกๆ ก็คือเรื่องเครื่องฉันดีกว่านู่นนี่นั่น เครื่องเธอมันแย่นู่นนี่นั่น แต่พอเริ่มนานวันจากแซะเปลี่ยนเป็นโจมตี แล้วก็ลามจากแค่เครื่องมือ กลายเป็นไลฟสไตล์ กลายเป็นชนชั้นฐานะ จนตรรกะและเหตุผลแทบไม่เหลือ ทีนี้เกิดวันหนึ่งอยากเปลี่ยนใจย้ายค่ายก็ยากละ เพราะไปขิงใส่เขาไว้เยอะ

สมัยก่อนเท่าที่จำความได้ การคุยการเมืองในที่สาธารณะก็ไม่ได้ขนาดนี้ คนรุ่นพ่อยังตั้งวงสภากาแฟยามเช้า ดูข่าวเมาท์ทีวีการเมืองด้วยกันได้ แต่ยุค 10 ปีหลังมานี้ แค่หลุดวิพากษ์วิจารณ์ฝั่งไหน ก็ถูกตีตรา ยัดข้อหาเข้ามือว่าแกสนับสนุนฝั่งนั้นใช่ม๊าาาายยยยย

 

_______________

 

ฝั่งนู่น-ฝั่งนี้มันมีตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

ก็คงเป็นตอนทีพรรคหนึ่งๆ เริ่มใช้ความรู้ด้าน Marketing เข้ามาวางกลยุทธ์หาเสียง ด้วยนโยบายที่แบ่ง Segmentation จัด Positioning โฟกัส Target group เจาะที่ Pain point ตอบ Solution ประชาชน สร้าง Branding ที่แข็งแกร่ง ในขณะที่พรรคอื่นๆ ยังใช้วิธีการการเมืองแบบเดิม เช่น สัญญาว่าจะไม่โกง จะกำจัดคอรัปชั่น แปะคำขวัญสวยๆ เชิญไปเลือกตั้ง ผลก็คือพรรคนั้นชนะขาดลอย

นี่ถือเป็น Innovation ของการเมืองในยุคนั้น ที่นำแนวคิดและเครื่องมือทางการตลาดมาใช้จนประสบความสำเร็จ ทำให้พรรคอื่นต้องปรับตัวตามและนำเรื่อง Marketing กันมาใช้มากขึ้น

เมื่อดีกรีการตลาดแรงขึ้น เรื่อง Branding ก็แรงตาม คือเมื่อการเลือกซื้อไม่ใช่แค่สินค้าอีกต่อไป แต่หมายถึงตัวตนของผู้ที่เลือกใช้มันด้วย และเมื่อเรื่องนี้ถูกนำมาผูกกับการเลือกพรรคการเมืองในปัจจุบัน ผลก็ไปในทำนองเดียวกัน ฉันดูเป็นคนแบบนี้เมื่อเลือกพรรคนี้ นี่เป็นฝั่งฉัน นั่นเป็นฝั่งเธอ

 

ระวัง Hate Marketing

 

ปกติการตลาดคือการสร้างความรู้สึกดีให้กับผู้ใช้ ส่วน Hate Marketing คือสร้างความเกลียดกลัวให้สินค้าคู่แข่ง มันคือพัฒนาการไปสู่ “ความเกลียด” และ “ความกลัว” คือถ้าไม่เลือกฉัน เธอก็จะได้คนนั้นแทน คุณจะได้รับผลที่ไม่ดี ความกลัวและความเกลียดผลักให้เราเลือกข้างยิ่งกว่าเลือกสินค้าอีก เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่ไม่ซื้อ แต่ตอนนี้เรามีความชิงชังต่อใครๆ ที่ไม่ได้คิดเหมือนเราอีกด้วย นี่คือจุดที่อันตรายที่สุดที่พวกเราอยากให้ทุกคน “มีสติ” ไว้ (ฟังเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ใน Podcast “The Power Game” ของหนุ่มเมืองจันท์ ได้จ้า)

 

การตลาดมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

ก็คงตอบว่าไม่ใช่ เพราะ มีดไม่ได้ผิดถ้าใช้แค่ปอกผลไม้ แต่มันจะกลายเป็นอาวุธเมื่อเอาไปแทงคนอื่น การตลาดก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง ที่นำมาใช้ได้ไม่ว่าจะอาชีพไหน แต่คนใช้ต่างหากที่สามารถเปลี่ยนเครื่องมือให้เป็นอาวุธได้ เชื่อสิว่านักการเมืองหรือคนที่เข้าวงการนี้ก็รู้และเข้าใจเรื่องนี้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเหล่าผลไม้ที่ถูกปอกอย่างประชาชนเราๆ นี้แหละ ที่ถูกบังคับให้เลือกข้างโดยไม่เข้าใจ

 

ยังไงเราก็ “ยังต้องอยู่ร่วมกัน”

 

สภาพตอนนี้ไม่ต่างจากการเลือกซื้อของสักชิ้น สมมติว่าเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาด ฝั่งหนึ่งเสนอเครื่องดูดฝุ่น อีกฝั่งเสนอไม้กวาด อีกฝั่งล้ำหน้าจะใช้หุ่นยนต์ หรือล้ำกว่าคือเมากัญชาทำความสะอาดบ้านก็ว่าไป แต่ทั้งนี้สินค้าหากซื้อไปก็ต่างคนต่างใช้ แต่การเมืองเราต้องใช้ร่วมกัน ดังนั้นยิ่งเพาะความคิดเรื่องแบ่งฝ่ายให้มีมาก ก็ยิ่งทำให้ทุกคนเจ็บปวดมาก ยิ่งวาทกรรมที่ไล่ให้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามความคิดออกไป สร้างความไม่วางใจ สร้างความชิงชังที่มากเกินไป ทำให้เรามองคนอื่นในแง่ร้ายและหวาดระแวง คนที่ไม่ได้คิดเหมือนเรากลายเป็นฝั่งตรงข้ามจนยากจะอยู่ร่วมกัน และเมื่อทุกคนไม่มีทางถอย แพ้ไม่ได้ ความวุ่นวายก็จะกลับมา

นักการเมืองเป็นเพียงเครื่องมือให้เราเลือกเข้าไปทำงาน เมื่อเข้าไปทำงานแล้วไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ขายอะไร เจาะกลุ่มไหน ก็ควรดูแลประชาชนทุกคนอยู่ดี ไม่ใช่ทำให้เฉพาะคนที่เลือกตน และไม่ควรชวนให้คนที่เลือกตนเหยียดฝั่งตรงข้าม อันที่จริงถ้าให้ความสบายใจกับฝั่งที่ไม่เลือกตัวเองได้ ก็จะเป็นนักการเมืองในแบบที่เราควรจะมีนั่นเอง

ดังนั้น นักการเมืองที่ควรจะเป็น คือ เป็นเครื่องมือดูแลประชาชน ไม่ใช่แค่ฝั่งคนที่เลือกตัว แต่ดูแลคนที่ไม่เลือกเราด้วย ถ้ามีนักการเมืองคนไหนพร้อมจะดูแล จัดสรรผลประโยชน์เพื่อประชาชนทั้งหมด เราก็คงได้นักการเมืองที่ดีแล้วอย่างแน่นอน

 

และถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ภาพนักการเมืองที่เราตั้งใจจะเลือกโผล่ขึ้นมาว่า ใช่เลยเขาเป็นแบบนี้แหละ หรือ ถ้ากำลังคิดว่าบทความนี้กำลังพาดพิงนักการเมืองคนที่เราไม่ชอบใช่ไหม ถ้าคิดว่าพี่เลือกข้างแล้วละก็ ขอให้อ่านเรื่องราวสุดท้ายในย่อหน้าถัดไป

สมัยผมเรียนมัธยม เพื่อนในกลุ่มผมทะเลาะกัน กลุ่มเลยแตกเป็นสองฝ่าย ผมอยู่กับฝั่งที่สนิทกว่า ทุกครั้งที่เพื่อนผมเห็น “เพื่อน” ที่เขาทะเลาะด้วยนั้นทำอะไรบางอย่าง ก็จะคอยแซะ คอยแซว ว่ามันไม่ดียังไง ซึ่งหลายครั้งผมก็เห็นด้วย ยิ่งนานวันเรื่องก็ยิ่งเยอะ ผมเริ่มเห็นว่า “เพื่อน” ที่ถูกพูดถึงนั้นไม่ดีอย่างที่เขาว่าจริงๆ ผมเริ่มไม่ชอบเหมือนกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง อยู่ๆ สองคนนั้นกลับคืนดีกัน ในขณะที่ผมกลับพบว่า ผมทำใจไม่ได้ ผมเกลียดเพื่อนคนนั้นไปแล้ว และผมไม่รู้จะให้อภัยเขาอย่างไร เพราะผมไม่เคยทะเลาะกับเขาตรงๆ เพียงแต่ความเกลียดนั้นไม่ได้หายไป แถมยังคงอยู่ในใจผมจนวันสุดท้ายของการเรียนระดับมัธยม เพื่อนคนที่ผมเกลียดคนนั้นเดินเข้ามาหา แล้วบอกกับผมว่า “ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกัน นายเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงเลยนะ” ประโยคนั้นทำให้ผมใจสลาย เพราะผมพึ่งรู้ตัวว่า ผมแบกความเกลียดนั้นเอาไว้อยู่คนเดียว และผมเสียเวลาดีๆ ที่ควรจะมีกับเพื่อนคนนั้นไปแล้วอย่างไม่อาจย้อนคืนมาได้

หลังเลือกตั้ง นักการเมืองจะกลับมาจับมือกันเพื่อทำงานร่วมกันได้ แต่เมล็ดแห่งความเกลียดชังถูกปลูกในใจประชาชนอย่างเราๆ ไปแล้ว เรายังจะมองคนที่คิดต่างให้กลายเป็นศัตรู สัตว์ หรือขนม เราจะมองคำวิจารณ์ว่าเป็นการใส่ร้าย มองการตรวจสอบว่าเป็นการจับผิด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้ “พวกเรา” ดีขึ้นเลย

 

ความเกลียดชังที่บ่มเพาะไว้จนใหญ่โตไม่เคยทำร้ายคนที่เราเกลียด แต่ทำร้ายใจของเราเอง ตราบใดที่เรายังปลูกมันไว้…. แต่เราเลือกได้!

 

“ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อ จงเป็นคนกล้าหาญจงเข้มแข็ง จงทำทุกสิ่งด้วยความรัก”
1 โครินธ์ 16:13-14

 

สุดท้ายผมขอเสนอแนะการฟังมาร์เก็ตติ้งการเมืองอย่างมีสติ ดังนี้

1. “มันก็แค่มาร์เก็ตติ้ง” ทุกอย่างล้วนแสดงออกด้วยอารมณ์ เพื่อจูงใจคน เพื่อเรียกพวก หรือกันไม่ให้เราไปเป็นพวกคนอื่น ดังนั้น โปรดมองด้วยความมีสติ รู้ทัน และปล่อยวาง

2. ”ทุกสินค้ามีดอกจัน” ไม่ว่าเราจะฟังนโยบายใครขอให้สังเกตดอกจันไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีเงื่อนที่ไม่ได้นำเสนอให้ครบอยู่ ควรใช้วิจารณญาณให้การฟัง โดยเฉพาะคนที่เราชอบ ไม่ใช่เห็นด้วยไปเสียหมด

3. “โปรดศึกษาให้ดีก่อนเลือกซื้อ” ก่อนเราจะซื้อของยังต้องเปิดอ่านรีวิว ตามเซิร์ชอ่านในกระทู้ หรือเปิดคู่มือดูบ้าง จะเลือกใคร เชียร์ใคร ก็ศึกษาประวัติเขาเสียก่อน มองให้รอบด้าน รวมไปถึงฝั่งที่เราอาจไม่ชอบเขา แต่ก็ลองเปิดใจดูว่าเขามีผลงานอะไรบ้าง ถ้าไม่มีอะไรดี เขาคงไม่สามารถโผล่ไปอยู่ในแถวหน้าๆ ของการเมืองได้หรอก

4. “นักการเมืองที่เลือกไม่ใช่เพื่อน และคนที่ยังอยู่กับเราคือของจริง” เราอาจเชียร์ใครสักคนจนรู้เรื่องราวเขาราวกับญาติ แต่ถามจริงๆ ว่าเขารู้จักเราไหม เขาเอาชื่อเราไปหาในกูเกิ้ลยังแทบจะไม่มีด้วยซ้ำ ดังนั้นขอให้ระลึกว่าเพื่อน ครอบครัว คนใกล้ตัว คือคนที่จะยังอยู่กับเราแม้การเลือกตั้งจะจบไปแล้ว ถนอมน้ำใจและให้คุณค่ากับเขาเหล่านี้จะดีกว่า

5. “ถ้าเจอคนคิดต่าง ให้ถือว่าเป็นบททดสอบความอดทน” มาร์เก็ตติ้งเป็นวิชาที่เอาไว้เขย่าอารมณ์ ดังนั้นเราจึงไม่ควรปล่อยเอาอารมณ์ไปตามตัวหนังสือ แต่คิดด้วยวิจารณญาณ คิดเสียว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองที่บางทีก็ไม่ได้มานั่งอธิบายให้กันฟังจนเข้าใจถ่องแท้ไม่ได้หรอก

 

ทุกคนมีหน้าที่ นักการเมืองมีหน้าที่ ประชาชนมีหน้าที

ประชาชนที่เป็นคริสเตียนอย่างเราก็มีหน้าที่ และหน้าที่นั้นคือ

นำการคืนดีไปสู่สังคม ไม่ใช่ชวนให้แตกแยก

 

________________

ชูใจ

ด้วยรักและชูใจ

 

 

 

 


Previous Next

  • Author:
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
  • Illustrator:
  • JoJo
  • พี่โจโจผู้อารมณ์ดี มีบัสไลท์เยียร์เป็นไอดอล เวลาว่างหลังจากสอนพระคัมภีร์และเมาท์มอยกับน้องเลี้ยงก็จะฝึกท่าเต้น bnk48 ไปเพื่ออัพเดทคลังท่าเต้นของตัวเอง ทำงานรับใช้หลายอย่าง แถมยังรับจ๊อบส่งไส้อั่วไทยไปขายไกลถึงแดนติ่มซำ แต่ยังไงก็ยังไม่ลืมแพสชั่นที่อยากให้เด็กไทยมารู้จักพระเจ้ากันมากขึ้น!
  • Editor:
  • Jick
  • บก.ชูใจ ผู้ใฝ่ฝันจะชูใจน้องๆ จากความพลาดของตัวเอง