เมื่อความเกลียด เปลี่ยนเรา


ท่ามกลางความวุ่นวายในตอนนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่พร้อมจะโมโหใส่กัน เวลาเลื่อนๆเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็เห็นเพื่อนๆที่น่ารัก ใจดี และ เฟรนด์ลี่ แต่ตอนนี้ดูกลายเป็นคนหงุดหงิดตลอดเวลา ความเครียดจากสภาพแวดล้อมคงเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องที่แอบเนียนแต่อันตรายซ่อนตัวไว้ใต้สภาพสังคมในวันนี้ คือ ความเกลียดชัง

 

เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์ เรื่องเล็กๆ ของคนๆหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เรื่องของ “อาหิโธเฟล”

…………………………………

อาหิโธเฟล เป็นตัวละครที่โผล่มาสั้นๆเพียง 2 บท ใน 2 ซามูเอล 15:12 – 17:23 ซึ่งอยู่ในช่วงที่ อับซาโลม ก่อกบฏ ต่อพ่อของตน นั่นก็คือ กษัตริย์ดาวิด

 

อาหิโธเฟล เป็นที่ปรึกษาของดาวิด เป็นชาว กิโลห์ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกมากถึงรายละเอียดของเขาว่าเป็นคนแบบไหน สำคัญขนาดไหน แต่ความสำคัญของเขามีมากพอให้ “อับซาโลม” ลูกชายคนหนึ่งของดาวิด ไปเชิญเขามาเป็นพวกร่วมก่อกบฏ เมื่ออาหิโธเฟลเข้าเป็นพวกของอับซาโลม พระคัมภีร์ก็กล่าวว่า คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

เมื่อมีคนมากราบทูลดาวิด บอกว่าอาหิโธเฟลไปเข้ากับพวกกบฏ ดาวิดก็อธิษฐาน ขอให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป นั่นทำให้เห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญในการให้คำปรึกษาอย่างแน่นอน ดาวิดถึงกับต้องกังวล

 

ภาพยิ่งชัดขึ้นเมื่อพระคัมภีร์บอกว่าคำปรึกษาของอาหิโธเฟล “เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือคำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก”

 

และ นี่คือสิ่งที่อาหิโธเฟล ให้คำปรึกษาแก่อับซาโลม

 

…ที่ดาดฟ้าพระราชวัง…

“ให้อับซาโลมนอนกับนางสนมของดาวิด”

 

แล้ว อับซาโลมก็กางเต้นท์บนหลังคาพระราชวัง และ ทำตามนั้นต่อหน้าบรรดาอิสราเอล

 

นั่นยังไม่พอ ต่อมา อาหิโธเฟล ขอทหาร 12,000 นาย เพื่อไปไล่ตามดาวิด เพราะรู้ว่าดาวิดพึ่งหนีออกจากเมืองไปได้ไม่นาน การรีบไล่ไปด้วยทหารจำนวนมาก จะจับดาวิดได้อย่างแน่นอน จุดสำคัญเล็กๆในตอนนี้ได้เปิดเผยถึงความตั้งใจลึกๆของเขา “ข้าพระบาทจะฆ่าแต่ดาวิด แล้วจะนำประชาชนทั้งสิ้นกลับมา” เหมือนจะดีต่ออับซาโลม เป็นภาพพระราชาที่ไว้ชีวิตประชาชน แต่นั่นชี้ให้เห็นว่าอาหิโธเฟลอาฆาตต่อดาวิด ดาวิดคือเป้าหมาย คือคนที่เขาต้องฆ่าให้ได้

 

…จากที่ปรึกษาที่น่านับถือ ราวกับบัญชาของพระเจ้า ทำไม เขาถึงอยากฆ่าดาวิด เป็นเพียงเพราะต้องการให้บ้านเมืองสงบอย่างรวดเร็วอย่างนั้นหรือ? แล้ว ทำไมต้องเจาะจงดาวิดเป็นพิเศษ ทำไมไม่จัดการทุกคนที่ติดตามดาวิดไปเลย จะได้สงบและไม่มีผู้ต่อต้านเหลือ? ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์จะเห็นคนสนิทของดาวิดล้วนจงรักภักดีต่อดาวิดสูง แต่ไม่ใช่กับ อาหิโธเฟล ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

 

ภายหลังเราพบว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้คำปรึกษาของ อาหิโธเฟล สำเร็จ อับซาโลมจึงไม่ฟังคำปรึกษาของอาหิโธเฟลอีก และ นั่นนำไปสู่จุดจบของเขา

 

เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าอับซาโลมไม่ฟังท่าน

“ท่านผูกอานลากลับเมืองของตน เมื่อสั่งเสียเสร็จแล้วก็ ผูกคอตาย…”

 

…………………………………

 

เพียงแค่อับซาโลมไม่ฟัง หรือ ถ้านี่เป็นเพียงแค่ปัญหาการเมือง และ วิธีการที่ไม่ถูกเลือกของที่ปรึกษาซึ่งจะมีโอกาสที่จะไม่ถูกเลือกอยู่แล้ว เพียงแค่นี้ถึงกับต้องฆ่าตัวตายเลยหรือ? หรือว่าเป็นเพราะเขาไม่สามารถฆ่าดาวิดด้วยตัวเองได้อีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมอาหิโธเฟลถึงอยากฆ่าดาวิด อะไรคือความคับข้องใจของเขาที่นำไปสู่การจบด้วยชีวิต

 

ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์มาถึงตอนนี้ เราจะเต็มไปด้วยความงง งงในแรงจูงใจ งงในเรื่องราวของที่ปรึกษาที่ไปเข้าฝ่ายกบฏ แล้ว ไปฆ่าตัวตายเพราะคำปรึกษาไม่ถูกยอมรับ นี่เป็นเรื่องแค่บันทึกๆประกอบๆกันเท่านั้นหรือ?

 

ถึงอย่างนั้นเราก็ควรอ่านไปเรื่อยๆ จนไปถึงช่วงท้ายชีวิตของดาวิด เราจะพบรายชื่อของทหารของดาวิด ถ้าเราดูผ่านๆ ก็จะเข้าใจว่าเป็นเพียงบันทึกรายชื่อที่น่าเบื่อ หากแต่เราไล่เรียงดีๆเราจะพบชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมา ชื่อของเขาจะทำให้เราเห็นภาพ และเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ คือ “เอลีอัม …บุตร อาหิโธเฟล ชาวกิโลห์” ซึ่งหากนี่คือคนเดียวกัน เรื่องราวเหล่านี้ก็มีเหตุผลและนำ้หนักมากพอต่อแรงจูงใจของเรื่องราวทั้งหมด

 

แล้ว เอลีอัม เป็นใคร?

ชื่อนี้นำเราย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มของเหตุการณ์ครั้งนี้

 

…ที่ดาดฟ้าพระราชวัง…

 

ในขณะที่ข้าราชการทั้งสิ้นของดาวิดออกไปรบ ดาวิดกลับอยู่ที่เยรูซาเล็ม ดาวิดขึ้นไปบนดาดฟ้า ทอดพระเนตรเห็นหญิงงามคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ ชื่อของเธอคือ บัชเชบา เราต่างรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมา ดาวิด ได้เข้าหา บัชเชบา แต่เมื่อรู้ว่า เธอมีสามีแล้ว คือ อุรีอาห์ จึงวางแผนให้ อุรีอาห์ สามีของบัชเชบาไปรบในสนามรบที่ดุเดือดที่สุด แน่นอนอุรีอาห์ตายในสนามรบ เมื่อเป็นเช่นนั้น ดาวิด จึงรับนางบัชเชบาที่เป็นม่ายเข้ามาดูแล

 

ตอนที่ ดาวิด เห็นนางบัชเชบาครั้งแรก ดาวิดส่งคนไปหาข้อมูลว่าเธอคือใคร จึงได้ความว่า บัชเชบา เป็นลูกสาวของ เอลีอัม นั่นหมายความว่า อาหิโธเฟล พ่อของ เอลีอัม ก็มีศักดิ์เป็นปู่ของบัชเชบา นั่นเอง

 

อาหิโธเฟล ที่ปรึกษาของพระราชา รู้เรื่องที่เกิดขึ้นไหม? เขาจะรู้สึกอย่างไร ขณะที่เขาออกไปรบ หลานเขยของเขาก็อยู่ที่นั่นในสนามรบเดียวกัน เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ อุรีอาห์ ที่ถูกส่งไปตาย เขารู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับบัชเชบาหลานสาวของเขา ความเจ็บปวดที่ถูกหักหลังจากคนที่เขาเคารพ ความโกรธ เกลียด ผลักดันให้เขาหาทาง แก้แค้น

 

ประตูของการแก้แค้นจึงเปิดออก เมื่ออับซาโลมก่อกบฏ 

 

ในเรื่องเดียวกันนี้ ไม่ใช่เพียง อาหิโธเฟล เท่านั้นที่ แค้นต่อดาวิด อับซาโลม ที่ก่อกบฏ และ ดูเหมือนฟังคำของอาหิโธเฟลอย่างง่ายๆ ก็เพราะเขาก็มีความแค้นเป็นทุนเดิมเช่นกัน เรื่องของเขาเริ่มมาจากการที่น้องสาวของเขา ทามาร์  ถูก อัมโนน โอรสอีกคนของดาวิด “ขืนใจ” ดาวิดเมื่อรู้เรื่องนี้ก็กริ้ว แต่ไม่ได้มีแอคชั่นอะไร สำหรับ อับซาโลม แล้ว การไม่ได้ทำอะไรเลยของดาวิด มีความหมายว่าเขาต้องเรียกร้องความยุติธรรมด้วยมือของเขาเอง นั่นคือการ ล้างแค้น

 

ความเกลียด เปลี่ยนอาหิโธเฟลที่คนเคารพนับถือ จากคนที่ให้คำปรึกษาราวกับบัญชาของพระเจ้า กลายเป็น คำปรึกษาที่น่ารังเกียจ และเมื่อเขาไม่สามารถระบายความแค้นนั้นได้อีก ความคับข้องใจจึงนำอาหิโธเฟลให้ไปสู่การจบชีวิตตนเอง เช่นเดียวกับความแค้นของอับซาโลมที่เก็บไว้แรมปีก็ผลักดันให้เขาวางแผนฆ่าล้างแค้น แต่นั่นไม่ใช่ตอนจบ ความเกลียดที่เพิ่มมากขึ้นผลักดันให้เขาก่อกบฏ หมายจะฆ่าพ่อตัวเอง และ สุดท้ายก็นำเขาไปสู่ความตาย

 

หลังสงครามกลางเมืองนี้จบ ประชาชนยังอยู่อย่างหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เพราะไม่รู้ว่าใครพวกไหน คนที่เคยเชียร์ดาวิดที่เหมือนจะแพ้แล้วแต่ก็กลับมาชนะ ฝ่ายพวกที่ไปสนับสนุนอับซาโลมก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

 

รอยแผลของความเจ็บแค้นยังคงทิ้งร่องรอยในเรื่องราวต่อๆมา

 

…………………………………

 

ในโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม บางครั้งความเจ็บปวดก็เกิดจากการที่เราเลือกเดินผิดทาง ในขณะเดียวกันก็มีความเจ็บช้ำที่เกิดจากคนอื่น ซึ่งเจ็บปวดยิ่งกว่าเพราะเราเป็นเพียงเหยื่อ เป็นผู้ถูกกระทำ เป็นผู้ไม่ได้รับความยุติธรรม

 

ถึงอย่างนั้น ความเกลียดชังไม่ได้เลือกคนถูกหรือผิด คนมีชื่อเสียง หรือ คนธรรมดาสามัญ ความเกลียดชังกัดกินทุกคน และ โน้มน้าวเราให้ส่งต่อความเกลียดชังนั้นไปเรื่อยๆ เปลี่ยนตัวตนคนที่ดี คนที่น่านับถือ ให้กลายเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง มันเติบโตและตอบแทนผู้ที่ให้มันอยู่อาศัยไปสู่ความพินาศไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซ้ำร้าย ความเกลียดชังนั้นยังคงตกทอดได้ แม้คนต้นเรื่องแทบจะสิ้นกันไปหมดแล้ว

 

แม้แต่ตัวดาวิดที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ก็ต้องรับผลของมันด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดของท่านแสดงออกในบทเพลงสดุดี ความผิดของท่านและการลงโทษก็เป็นไปตามที่ นาธัน ผู้เผยพระวจนะบอกทั้งหมด

ดาวิด ได้แต่เพียงร้องไห้ และ ลิ้มรสโศกนาฏกรรมจากผลของความบาปที่ตนได้ทำไว้

 

ในช่วงท้ายของชีวิต ดาวิดสรุปบทเรียนชีวิตด้วยเรื่องกษัตริย์ที่ดำเนินชีวิตตามความชอบธรรมของพระเจ้าจะได้รับการอวยพร และ คนอธรรม จะต้องรับผลของมัน หากเราอ่านเผินๆคงเหมือนดาวิดเปรียบตนเองคือกษัตริย์ที่ชอบธรรม ส่วนคนอธรรม คงเป็นศัตรูของดาวิด แต่เป็นไปได้ไหมที่คำว่า คนอธรรม ที่ดาวิดกำลังพูดถึง อาจหมายถึงตัวของท่านเองนั่นแหละ ที่ได้เรียนรู้ผ่านเรื่องราวและความเจ็บปวดนี้ (สดุดีบทที่ 51)

 

…………………………………

 

เราอยู่ในโลกที่บิดเบี้ยว เราทุกคนต่างก็ล้วนเป็นคนตัวเล็กๆ คนที่ไม่มีใครรู้จักเหมือน อาหิโธเฟล ที่ได้รับความเจ็บปวดจากความเกลียดชัง จากผลของความโกรธ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันส่งต่อและไม่มีวันจบ เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดขึ้นอีก นั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้

 

แล้ววงจรแห่งความเกลียดชังนั้นจะจบลงที่ตรงไหน . . .

 

 

ทางออกของเรื่องนี้ พระเยซูตอบด้วยชีวิต

 

พระองค์ มีสิทธิที่จะพิพากษา ตัดสินทุกความชั่วร้ายตามการอธรรมที่แต่ละคนก่อขึ้น แต่ที่กางเขนพระเยซูตัดวงจรแห่งความเกลียดชัง ด้วยการยอมรับความเกลียดชัง และ ความบาปเอาไว้ ตรึงที่กางเขนพร้อมกับตัวพระองค์เอง

พระองค์เลือก หยุด ความเกลียดชัง ด้วยชีวิตของพระองค์

การฟื้นคืนพระชนม์คือคำยืนยันว่ามันเป็นไปได้ที่เราจะหยุดเรื่องนี้ ผ่านพระองค์ ด้วยการวางใจในความยุติธรรม ความสัตย์ซื่อ และ ความรักมั่นคงของพระองค์

…………………………………

ผมเองก็ไม่รู้ว่าคำตอบของสถานการณ์ในวันนี้จะจบลงแบบไหน แต่ผมเชื่อว่า ทางเลือกเป็นของเราเสมอ

 


Previous Next

  • Author:
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก
  • Illustrator:
  • Narit
  • เนื้อแท้เป็นคนรักหนัง เบื้องหลังดีไซน์เก๋ๆ สวยๆ ของเว็บชูใจ คือฝีมือของเค้า นักออกแบบตัวยงผู้รักบอร์ดเกมเป็นชีวิตจิตใจ และอยากเห็นงานสร้างสรรค์คริสเตียนไทยพัฒนาก้าวไกลไม่แพ้ชาติไหนในโลก